top of page
3.jpg
BG-BY-Final.png

Data Integration คืออะไร? มีขั้นตอนอะไรบ้าง?

  • รูปภาพนักเขียน: Marketing Team
    Marketing Team
  • 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา
  • ยาว 3 นาที

รู้จักกับ Data Integration คืออะไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง สำคัญต่อองค์กรธุรกิจอย่างไร และจะเชื่อมโยงข้อมูลในธุรกิจเฮลท์แคร์อย่างโรงพยาบาลได้อย่างไรบ้าง


Banner graphic with cloud icons, data flow lines, and coding interface illustrating Data Integration | แบนเนอร์กราฟิกที่มีสัญลักษณ์คลาวด์ เส้นการเชื่อมข้อมูล และหน้าต่างโค้ดแสดงแนวคิด Data Integration

Table of Contents



Key Takeaways 


  • Data Integration คือกระบวนการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ทั้งในฐานข้อมูล ระบบ หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบและมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้แผนกต่าง ๆ เข้าถึงและนำข้อมูลไปใช้ต่อได้สะดวก


  • การทำ Data Integration ช่วยลดข้อมูลซ้ำซ้อน ข้อมูลถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้บริหารเข้าถึงข้อมูลและนำไปใช้ตัดสินใจทางธุรกิจต่อได้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมสำหรับการเติบโตทางธุรกิจ


ข้อมูลถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจ แต่เพราะแต่ละแผนกในองค์กรต่างก็มีระบบหรือวิธีเก็บข้อมูลที่ต่างกันออกไป การทำ Data Integration จึงกลายเป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลให้อยู่ที่ศูนย์กลาง และนำไปใช้ต่อได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ



Data Integration คืออะไร?

Team presenting data dashboards on laptop and large display during a meeting | ทีมงานกำลังนำเสนอแดชบอร์ดข้อมูลบนแล็ปท็อปและจอขนาดใหญ่ระหว่างการประชุม

Data Integration = รวมข้อมูลจากหลายที่เป็นระบบเดียว เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกและแม่นยำ

Data Integration คือ ขั้นตอนหรือกระบวนการรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูล แอปพลิเคชัน และระบบต่าง ๆ จากภายนอก แล้วนำมาเชื่อมโยงกันที่ศูนย์กลาง เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้อย่างสะดวก ถูกต้อง นำไปวิเคราะห์และใช้ตัดสินใจต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว



ขั้นตอนการทำ Data Integration อย่างเป็นระบบ

1. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)

การรวบรวมข้อมูลกระจายหลายที่ มารวมไว้ในจุดเดียวเพื่อเตรียมสำหรับขั้นตอนถัดไป

การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนแรกของการทำ Data Integration โดยดึงข้อมูลจากทุกระบบที่องค์กรใช้งาน เช่น ระบบบัญชี ไฟล์ Excel ระบบขายอย่าง POS หรือ CRM ระบบคลังสินค้า หรือระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน โดยมีขั้นตอนเบื้องต้น ดังนี้


  • ระบุแหล่งข้อมูลให้ชัดเจน เช่น ระบบบัญชี แผ่น Excel ของแผนกขาย ฐานข้อมูล POS, WMS หรือ HR system และไฟล์ภายนอก เช่น CSV หรือ Excel) ที่อัปเดตทุกสัปดาห์

  • เลือกวิธีการดึงข้อมูล ดึงข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ด้วยวิธีที่เหมาะสมกับแหล่งข้อมูล เช่น ผ่าน API การใช้ไฟล์นำเข้า (CSV/Excel) สำหรับไฟล์ที่ส่งมาเป็นชุดก้อน หรือเชื่อมต่อฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน

  • กำหนดความถี่การดึงข้อมูล กำหนดความถี่ในการดึงข้อมูล เช่น รายวัน รายชั่วโมง หรือแบบเรียลไทม์ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและข้อจำกัดของระบบ


2. การแปลงข้อมูลให้เป็นรูปแบบเดียวกัน (Data Transformation)

ขั้นตอนที่ทำให้ข้อมูลทุกระบบอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน แล้วนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อกำหนดและได้ข้อมูลมาแล้ว จะเป็นขั้นตอนการแปลงข้อมูลให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน เพราะแต่ละระบบมักใช้รูปแบบไม่เหมือนกัน โดยขั้นตอนนี้จะต้องทำอย่างละเอียด รอบคอบ และใช้เวลาค่อนข้างมาก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด


  • การทำความสะอาดข้อมูล เช่น ลบข้อมูลซ้ำ แก้ค่าที่ผิด หรือจัดรูปแบบวันที่ ปรับสกุลเงินที่ต่างกัน

  • การตั้งมาตรฐานชื่อหรือรหัส แปลงชื่อคอลัมน์และรหัสสินค้า ลูกค้าให้ตรงกัน หรือปรับให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด

  • การแปลงหน่วย เช่น แปลงหน่วยสินค้าจากโหลเป็นชิ้น หรือหน่วยสกุลเงินเมื่อจำเป็น

  • การเสริมข้อมูล เติมข้อมูลที่จำเป็น เช่น กลุ่มสินค้า หรือประเภทลูกค้า เพื่อให้ข้อมูลสมบูรณ์ขึ้น


3. การเชื่อมโยงและรวมข้อมูลจากหลายระบบ (Data Loading / Integration)

การนำข้อมูลทุกประเภทมารวมกันให้เป็นระบบเดียว และทำให้ข้อมูลสัมพันธ์กันแบบอัตโนมัติ

เมื่อกำหนดข้อมูลให้ตรงกันทั้งหมดแล้ว ก็นำข้อมูลเข้าไปในระบบกลาง เช่น ERP, Data Warehouse หรือ Data Lake แล้วเชื่อมข้อมูลแต่ละแหล่งให้ใช้งานร่วมกันได้อย่างราบรื่น


  • โหลดข้อมูลเข้าฐานข้อมูล โหลดข้อมูลเข้าโมดูลที่เกี่ยวข้องในระบบ ERP หรือฐานข้อมูลที่ใช้เป็นศูนย์กลาง 

  • ใช้รหัสหลัก การใช้รหัสเพื่อเชื่อมข้อมูลจากระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น customer_id, product_sku

  • กำหนดแหล่งข้อมูลหลัก (Source of Truth) กำหนดนโยบายว่าข้อมูลจากแหล่งใดเป็นแหล่งอ้างอิง ป้องกันข้อมูลขัดแย้งกัน เช่น ระบบบัญชีเป็น source of truth สำหรับยอดการเงิน


4. การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Data Validation)

ขั้นตอนที่ช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลถูกต้องจริงก่อนนำไปใช้งานในองค์กร

ขั้นตอนการตรวจสอบว่าข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน และตรงตามกฎที่องค์กรกำหนด ก่อนนำไปใช้งานในรายงานหรือกระบวนการธุรกิจต่าง ๆ โดยจะต้องตรวจสอบข้อมูลหลายด้าน เช่น


  • รูปแบบข้อมูล ตรวจสอบรูปแบบวันที่ จำนวนเงิน หรือหมายเลขเอกสาร อีเมล

  • ความสอดคล้อง ตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูล เช่น ตรวจรหัสลูกค้าต้องมีอยู่จริงใน Master Data

  • การหาข้อมูลซ้ำซ้อนหรือรายการที่ขาดหาย หาค่าซ้ำของ Invoice Number หรือ Transaction ID

  • การเทียบยอด เปรียบเทียบจำนวนแถวหรือยอดรวมระหว่างต้นทางและปลายทาง เช่น ยอดรวมยอดขายในไฟล์ Excel เทียบกับยอดที่โหลดเข้า ERP


5. การแสดงผลและนำข้อมูลไปใช้ (Data Utilization / Visualization)

การนำข้อมูลที่รวบรวมและตรวจสอบแล้วไปใช้งานจริงกับทุกแผนก

เมื่อตรวจสอบข้อมูลว่าครบถ้วนถูกต้องแล้ว ก็นำไปใช้งานจริงได้ เช่น สรุปรายงาน ทำ Dashboard ประกอบการวิเคราะห์ หรือใช้ข้อมูลในระบบ ERP เพื่อตัดสินใจด้านธุรกิจ วางแผนงานและปรับปรุงการทำงานขององค์กร โดยมีตัวอย่างการนำข้อมูลไปใช้ดังนี้


  • รายงานบัญชีและการเงิน เช่น งบกำไรขาดทุน รายงานภาษี หรือยอดลูกหนี้-เจ้าหนี้

  • Dashboard สำหรับผู้บริหาร แดชบอร์ดแสดงยอดขาย กำไร สินค้าคงคลัง หรือข้อมูลแบบเรียลไทม์

  • ข้อมูลสต๊อก อัปเดตข้อมูลสต๊อกให้แผนกจัดซื้อและคลังสินค้าใช้งานร่วมกัน

  • การส่งข้อมูลกลับเข้าระบบ เช่น ส่งข้อมูลสรุปกลับไปยังระบบ CRM เพื่อใช้ทำแคมเปญการตลาด


Data Integration มีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจ?

Professional reviewing data analytics dashboard on desktop monitor | ผู้เชี่ยวชาญกำลังดูแดชบอร์ดวิเคราะห์ข้อมูลบนจอมอนิเตอร์

1. ลดข้อมูลซ้ำซ้อน เพิ่มความถูกต้อง

Data Integration ช่วยรวมข้อมูลจากหลายแหล่งให้อยู่ในรูปแบบและระบบเดียวกัน ลดปัญหาการเก็บข้อมูลคนละรูปแบบ หรือข้อมูลคลาดเคลื่อนระหว่างแผนก รวมถึงป้องกันการบันทึกข้อมูลซ้ำ เช่น ข้อมูลลูกค้าในระบบบัญชีไม่ตรงกับข้อมูลใน Excel หรือยอดขายจาก POS ไม่ตรงกับ ERP


เมื่อเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดแล้ว ผู้ใช้งานก็จะเห็นข้อมูลที่อัปเดตตรงกัน 100% ช่วยให้การทำงานด้านบัญชี การขาย และการจัดซื้อแม่นยำ ลดข้อผิดพลาดที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจ


2. ช่วยให้การตัดสินใจเป็นแบบ Data-Driven

การทำ Data Integration ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจโดยอิงข้อมูลจริง (Data-Driven Decision-Making) เพราะผู้บริหารเข้าถึงข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ทำให้ตัดสินใจได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล แม่นยำ โดยมีข้อมูลรองรับ เช่น


  • ดูภาพรวมยอดขายรายวัน รายเดือน หรือรายสินค้า

  • วิเคราะห์ต้นทุนและกำไรแบบละเอียด

  • มองเห็นปัญหาสต๊อก เช่น สต๊อกค้างเก่า หรือสินค้าที่กำลังจะหมด

  • คาดการณ์ยอดขายและวางแผนการผลิตได้แม่นยำ


3. เชื่อมต่อระบบ ERP และ HIS ได้อย่างราบรื่น

สำหรับธุรกิจเฮลท์แคร์ที่มีทั้งระบบ HIS (Hospital Information System) จัดการข้อมูลหน้าบ้าน และระบบ ERP จัดการข้อมูล Back Office การทำ Data Integration ช่วยเชื่อมโยงข้อมูลของทั้งสองระบบให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น เช่น 


  • เชื่อมข้อมูลค่าบริการ ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์จาก HIS เข้ากับระบบบัญชี

  • ลดการบันทึกข้อมูลซ้ำที่ต้องกรอกในหลายระบบ

  • ทำให้ข้อมูลการรักษา ค่ารักษา สต๊อกยา และรายงานทางการแพทย์ตรงกัน


ตัวอย่างการใช้ Data Integration ในธุรกิจเฮลท์แคร์

Office scene showing hospital system integration with tablets, laptops, and HealthBiz ERP และ MEDHIS interfaces | ฉากสำนักงานแสดงการเชื่อมต่อระบบโรงพยาบาลด้วยแท็บเล็ต แล็ปท็อป และหน้าจอ HealthBiz ERP และ MEDHIS

1. การเชื่อมต่อ HIS กับ ERP

การทำ Data Integration ในโรงพยาบาลหรือธุรกิจเฮลท์แคร์เป็นการเชื่อมต่อระบบ HIS (Hospital Information System) กับระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ซึ่งแต่ละระบบทำงานกันคนละด้าน 


โดย HIS ทำหน้าที่เก็บข้อมูลผู้ป่วย การรักษา เวชระเบียน รวมถึงค่ารักษาบริการ ส่วน ERP จะเก็บข้อมูลบัญชี การเงิน สต๊อกยา เวชภัณฑ์ การทำ Data Integration ระหว่างสองระบบนี้ จึงช่วยเชื่อมต่อข้อมูลต่าง ๆ กันอย่างอัตโนมัติ เช่น


  • รายการค่ารักษาและค่าบริการใน HIS ถูกส่งเข้า ERP เพื่อออกใบเสร็จ ใบแจ้งหนี้ หรือทำบันทึกบัญชี

  • การใช้ยาและเวชภัณฑ์ในแผนกต่าง ๆ ของโรงพยาบาลถูกส่งเข้า ERP เพื่อหักสต๊อกแบบเรียลไทม์ และทำการจัดซื้อต่อไป

  • ระบบ ERP ส่งข้อมูลสถานะสต๊อกยาให้ HIS เพื่อให้แพทย์หรือพยาบาลเห็นว่ามีสินค้าพร้อมใช้หรือไม่


2. การเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาล

การเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยระบบ HIE (Health Information Exchange) เป็นตัวอย่างการทำ Data Integration ระหว่างโรงพยาบาล คลินิก หรือหน่วยงานสาธารณสุขต่าง ๆ เพื่อให้แลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างปลอดภัย แพทย์เข้าถึงข้อมูลการรักษาได้สะดวก เช่น ประวัติการรักษา ผลแล็บ ผลเอกซ์เรย์ ข้อมูลการแพ้ยา แม้อยู่กันคนละสถานพยาบาล


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Data Integration

1. Data Integration คืออะไร?

Data Integration คือ กระบวนการเชื่อมต่อและรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง ให้เป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบหรือมาตรฐานเดียวกัน แต่ละแผนกนำไปใช้งานร่วมกันได้อย่างต่อเนื่องและถูกต้อง

2. Data Integration ต่างจาก Data Migration อย่างไร?

Data Integration คือ การเชื่อมข้อมูลหลายระบบให้ทำงานร่วมกันตลอดเวลา ส่วน Data Migration คือการย้ายข้อมูลจากระบบหนึ่งไปยังอีกรบบหนึ่งแบบครั้งเดียวหรือเป็นรอบ ๆ ตามที่กำหนด

3. Data Integration มีขั้นตอนอะไรบ้าง

ขั้นตอนการทำ Data Integration เบื้องต้นประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การรวบรวมข้อมูลจากหลายระบบ การแปลงข้อมูลให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน การรวมข้อมูลเข้าระบบกลาง การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และการนำข้อมูลที่ผ่านการจัดการไปใช้งานจริง

4. ทำไมการทำ Data Integration ถึงสำคัญ?

Data Integration สำคัญเพราะช่วยลดข้อมูลซ้ำซ้อน เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล และทำให้ระบบต่าง ๆ ในองค์กรเชื่อมต่อกันได้อย่างราบรื่น ส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้บริหารใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้ ทั้งยังรองรับการเติบโตขององค์กรในระยะยาว


Backyard พร้อมให้บริการโซลูชันที่สนับสนุนการทำงานด้านเฮลท์แคร์

Smart hospital concept featuring a doctor using a digital tablet with connected medical icons | แนวคิดโรงพยาบาลอัจฉริยะที่แพทย์ใช้งานแท็บเล็ตดิจิทัลพร้อมไอคอนระบบการแพทย์ที่เชื่อมต่อกัน

HealthBiz ERP ระบบ Enterprise Resource Planning สำหรับธุรกิจเฮลท์แคร์โดยเฉพาะ ช่วยจัดการงานหลังบ้าน (Back-Office) ไม่ว่าจะเป็นบัญชี การเงิน งานจัดซื้อ และงานเอกสารต่าง ๆ ของโรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาลประเภทอื่น พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับระบบ MEDHIS เชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่ศูนย์กลาง ลดภาระเอกสาร เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น


  • ออกแบบเพื่อธุรกิจเฮลท์แคร์โดยเฉพาะ ระบบ HealthBiz ERP ออกแบบมาสำหรับโรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาลประเภทอื่น ๆ โดยทีมนักออกแบบและนักพัฒนาที่มีประสบการณ์ตรงกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่

  • พร้อมเชื่อมต่อกับระบบ HIS HealthBiz ERP พร้อมเชื่อมต่อกับระบบ HIS ได้อย่างราบรื่น ช่วยรวมข้อมูลไว้ที่ศูนย์กลาง ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่จัดการงานหน้าบ้าน และเจ้าหน้าที่ Back-Office เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

  • Localized Features for Thailand ฟีเจอร์ที่สอดคล้องกับกฎหมาย ข้อกำหนดทางบัญชี ภาษี การจัดทำรายงาน และแนวปฏิบัติทางธุรกิจ ที่ตอบโจทย์การทำงานในประเทศไทย เช่น รายงานภาษีซื้อ-ขาย แบบฟอร์มหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด. 3, ภ.ง.ด. 53) 

  • คุ้มครองข้อมูลให้ปลอดภัยตามข้อกำหนด ปกป้องข้อมูลสำคัญด้วยเทคโนโลยีการเข้ารหัส ตามมาตรฐานกฎหมายด้านสาธารณสุขระดับสากล การกำหนดสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเฉพาะบุคคล รวมถึงเอกสารตามมาตรฐาน ISO



Backyard พร้อมให้บริการแบบครบวงจร ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ เข้าใจการทำธุรกิจ ทำให้ได้ระบบที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด สนใจระบบ HealthBiz ERP หรือระบบ ERP สำหรับธุรกิจอื่น ๆ ติดต่อเพิ่มเติมได้ที่



ติดตามข่าวสาร Backyard ได้ที่…

📍โทร. 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10.00-18.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์)


3.jpg

พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรแล้วหรือยัง?

ติดต่อทีมงาน Backyard

ทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมติดต่อกลับ เพื่อมอบบริการที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

bottom of page