top of page
3.jpg
BG-BY-Final.png

ที่เดียวจบ! ระบบ ERP คืออะไร ทำไมทุกองค์กรควรเลือกใช้งาน?

Key Takeaways


  • ระบบ ERP หรือ Enterprise Resource Planning เป็นระบบที่ใช้จัดการทรัพยากรต่าง ๆ ภายในบริษัท โดยนำข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ เช่น บัญชี HR จัดซื้อ ไปจนถึงการผลิตและคลังสินค้า มารวมกันไว้ในโปรแกรมเดียว ทำให้นำข้อมูลไปใช้ต่อได้ง่าย


  • สำหรับองค์กรที่เหมาะจะนำระบบ ERP ไปใช้ ก็เป็นได้ทั้งบริษัทขนาดเล็กและกลางที่กำลังเติบโต บริษัทที่มีระบบเดิมที่ล้าสมัย อยากจะปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือแม้แต่ธุรกิจที่อยากจะรวมข้อมูลไว้ที่ศูนย์กลางเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ ก็นำไปปรับใช้ได้เช่นกัน


สำหรับคนทำธุรกิจยุคนี้ ข้อมูลถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้คาดการณ์ความต้องการต่าง ๆ ในอนาคตได้ แต่ถ้าข้อมูลแต่ละแผนกอยู่กระจัดกระจายกันไป ก็จะนำมาใช้งานได้ยากขึ้น ระบบ ERP หรือ Enterprise Resource Planning จึงเป็นทางเลือกที่คนทำธุรกิจไม่ควรมองข้าม สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกับโปรแกรมนี้ ไม่รู้ว่าทำอะไรได้บ้าง หรือควรจะเลือกใช้แบบไหนดี วันนี้รวบรวมความรู้ดี ๆ มาพร้อมตอบทุกข้อสงสัยกันแล้ว


ระบบ ERP คืออะไร?


ระบบ ERP หรือ Enterprise Resource Planning คือซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการองค์กร โดยรวมข้อมูลแผนกต่าง ๆ ไว้ในที่เดียว แบ่งเครื่องมือเป็นโมดูลต่าง ๆ ได้แก่ การเงินและบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง ทรัพยากรบุคคล งานจัดซื้อ การผลิต

ระบบ ERP ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning คือ ซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งที่ช่วยให้องค์กรบริหารจัดการการทำงานได้อย่างเป็นระบบ ด้วยการผสมผสานและรวมข้อมูลจำนวนมากไว้ในระบบเดียว การใช้ระบบ ERP ช่วยให้รวบรวมข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ เข้าด้วยกัน 


ไม่ว่าจะเป็นบัญชี การเงิน ทรัพยากรบุคคล (HR) การตลาดและการขาย ไปจนถึงคลังสินค้า และฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Service) การสร้างจุดศูนย์กลางให้กับข้อมูลภายในองค์กร จึงช่วยให้แต่ละแผนกทำงานร่วมกันได้อย่างไร้ร้อยต่อ และร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น



เครื่องมือหลักในระบบ ERP มีอะไรบ้าง?


ระบบ ERP แบ่งเป็นหลายโมดูลตามการใช้งาน

1. การเงินและบัญชี (Finance and Accounting)

บัญชีและการเงินถือเป็นโมดูลพื้นฐานสำคัญของระบบ ERP ใช้สำหรับรวมข้อมูล จัดการและติดตามธุรกรรมทางการเงินของบริษัท ช่วยให้ฝ่ายบัญชีตรวจสอบข้อมูลทางเงินให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายได้ง่ายขึ้น ลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ และมองเห็นข้อมูลภายในที่ช่วยให้นำไปตัดสินใจต่อได้ง่ายขึ้น


2. การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management)

สำหรับธุรกิจที่มีสินค้าคงคลัง ต้องจัดการสต็อกต่าง ๆ โมดูลนี้ถือเป็นตัวช่วยติดตาม จัดการ และเติมของลงสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเติมของมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ช่วยลดสินค้าส่วนเกิน ลดต้นทุน ปรับปรุงคำสั่งซื้อและกระบวนการทำงานให้แม่นยำขึ้น อีกทั้งยังใช้ข้อมูลคาดการณ์ความต้องการสินค้าได้ล่วงหน้าอีกด้วย


3. ทรัพยากรบุคคล (Human Resources)

ฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือที่เราเรียกกันว่า HR เป็นฝ่ายที่ต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพนักงาน บัญชีเงินเดือน ไปจนถึงการสรรหาคน การรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในระบบ  ERP จึงช่วยให้ฝ่าย HR ทำงานได้สะดวก ใช้เวลาน้อยลง มีข้อมูลเก็บไว้ครบถ้วน และนำข้อมูลไปคาดคะเนการทำงานด้านทรัพยากรบุคคคลต่อไปได้สะดวก


ระบบ ERP รวบรวมข้อมูลทุกฝ่ายไว้ในโปรแกรมเดียว

4. งานจัดซื้อ (Procurement and Purchasing)

จัดการการจัดซื้อได้อย่างครบครันทุกขั้นตอน ด้วยโมดูลงานจัดซื้อในระบบ ERP ตั้งแต่การขอใบเสนอราคาไปจนถึงการชำระเงิน ช่วยให้ขั้นตอนการทำงานของฝ่ายจัดซื้อมีข้อผิดพลาดน้อยลง ร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายได้สะดวกขึ้นผ่านระยะเวลาชำระเงินที่สั้นลง และยังช่วยควบคุมงบประมาณด้วยการติดตามและวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย


5. การผลิต (Manufacturing)

สำหรับสายการผลิต ระบบ ERP ก็มีโมดูลรองรับการวางแผนการผลิต ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ วางแผนขั้นตอนการผลิต และจัดการสินค้า ตรวจสอบคุณภาพ ช่วยวิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดระยะเวลาการผลิต ซึ่งเป็นประหยัดเวลาและต้นทุน ลดของเสียจากการผลิต และทำให้ได้สินค้าที่มีมาตรฐาน


ทำไมคนทำธุรกิจไม่ควรมองข้ามระบบ ERP?


ระบบ ERP ช่วยรวมข้อมูลไว้ด้วยกันช่วยให้คนทำธุรกิจตัดสินใจได้ดีขึ้น ทำงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ได้เร็วขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยระบบนี้ก็ยังยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามการเติบโตได้ และช่วยเพิ่มความโปร่งใส ตรวจสอบแผนกต่าง ๆ ได้สะดวก

1. รวมข้อมูลไว้ด้วยกันช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น

ระบบ ERP ช่วยรวบรวมข้อมูลทั้งหมดในธุรกิจมาไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการขาย สินค้าคงคลัง บัญชี และ HR แทนที่จะต้องไปเปิดหาข้อมูลในหลาย ๆ ชีท หรือเปิดโปรแกรมหลาย ๆ โปรแกรม ก็เปิดดูรีพอร์ทหรือข้อมูลได้เลยบนโปรแกรม ERP ทำให้นำข้อมูลไปใช้ตัดสินใจต่อได้เร็วยิ่งขึ้น ไม่ต้องเสียเวลารวบรวมจากแผนกต่าง ๆ


ตัวอย่าง: สำหรับธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กหรือกลาง จะใช้ ERP ติดตามความต้องการของสินค้าในตลาดได้แบบเรียลไทม์ ใช้ดูว่าสินค้าไหนที่ได้รับความนิยมสูง และเติมสินค้าใหม่ได้ทันที ป้องกันการเติมสินค้ามากไป และเติมสินค้าได้เหมาะกับเทรนด์ของตลาดด้วย


2. ทำงานประจำได้รวดเร็วขึ้น

สำหรับงานที่ต้องทำเป็นประจำ เช่น การส่งใบแจ้งหนี้ (Invoice) บัญชีเงินเดือน (Payroll) หรือแม้แต่การติดตามสินค้าคงคลัง และการจัดส่ง ก็ทำให้เป็นอัตโนมัติได้ในระบบ ERP ช่วยลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ทำให้พนักงานไปใช้เวลากับงานที่สำคัญกว่าได้ 


ตัวอย่าง: แพลตฟอร์ม ecommerce ขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้ ERP ปรับเปลี่ยนขั้นตอนการสั่งสินค้าออนไลน์ อัปเดตปริมาณสินค้า และส่งใบยืนยันการสั่งสินค้า ให้กลายเป็นอัตโนมัติได้เลย


ERP ช่วยรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ในบริษัท

3. ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

เชื่อมโยงการทำงานของแต่ละแผนกเข้าด้วยกัน ช่วยให้ธุรกิจที่กำลังเติบโตทำงานได้อย่างเป็นระบบ ไม่ซ้ำซ้อน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่มักจะเกิดจากความผิดพลาดในการทำงาน ช่วยควบคุมบัญชีและการเงินได้ดีขึ้นด้วยการติดตามค่าใช้จ่ายอย่างแม่นยำ


ตัวอย่าง: ธุรกิจที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการผลิตใช้ข้อมูลในระบบ ERP สำหรับวิเคราะห์การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์และวัตถุดิบต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับปริมาณการผลิต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนส่วนเกินได้นั่นเอง


4. ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามการเติบโตได้

สำหรับธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ต้องกังวลว่าระบบ ERP จะปรับเปลี่ยนตามการเติบโตไม่ทัน เพราะระบบนี้ถูกออกแบบมาให้ยืดหยุ่น ปรับให้เข้ากับรูปแบบการทำงานได้เสมอ โดยไม่กระทบต่อระบบที่ใช้อยู่แล้ว และยังรองรับการขยายตัว เช่น สินค้า บริการ และพนักงานที่มีเพิ่มขึ้น 


ตัวอย่าง: ธุรกิจที่จะขยายตัว เพิ่มสาขาใหม่ สามารถใช้โปรแกรม ERP จัดการปริมาณสินค้าในคลัง และติดตามยอดขายจากทุกสาขาได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องตามเก็บข้อมูลจากแต่ละสาขาให้เสียเวลา


5. ทำธุรกิจได้แบบโปร่งใส

แน่นอนว่าเมื่อมองเห็นข้อมูลต่าง ๆ ของแต่ละแผนกได้บนแพลตฟอร์มเดียวแบบเรียลไทม์ สิ่งที่ตามมาทันทีก็คือความโปร่งใส เพราะทุกฝ่ายจะตรวจสอบกันและกันได้แบบเรียลไทม์ ลดการทำงานแบบต่างคนต่างทำ ทำให้ทุกคนทำงานได้อย่างเท่าเทียมด้วยข้อมูลเดียวกัน


ตัวอย่าง: ธุรกิจที่ใช้ ERP เช็คสถานะการสั่งซื้อ ตั้งแต่คลังสินค้าไปสู่การจัดส่ง ทำให้กระบวนการมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น โดยที่แต่ละฝ่ายติดตามได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบัญชีหรือฝ่ายจัดการสินค้าคงคลัง


ระบบ ERP มีกี่ประเภท?

1. On-Premise ERP


ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ในองค์กรขนาดใหญ่

ระบบแบบ On-Premise เป็นโปรแกรม ERP แบบดั้งเดิมที่จะติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในเซิร์ฟเวอร์ขององค์กร ทำให้ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT เพิ่มเติม เพราจะต้องติดตั้งระบบและดูแลอย่างสม่ำเสมอ โดยบริษัทจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของระบบ ERP ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูลต่าง ๆ ทำให้ปรับปรุงระบบได้ตามต้องการ และยังทำงานได้โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตอีกด้วย


เหมาะกับใคร: บริษัทขนาดใหญ่ที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT อยู่แล้ว หรือบริษัทที่มีความต้องการเฉพาะ ต้องการปรับแต่งระบบให้เข้ากับการทำงานอยู่เสมอ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายกฎระเบียบเป็นพิเศษ เช่น บริษัทการเงิน บริษัทด้านกฎหมาย


จุดเด่นของระบบ ERP แบบ On-Premise

  • ควบคุมได้หมด บริษัทจะจัดการทุกอย่างในระบบ ERP ได้หมด เพราะเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และข้อมูลทั้งหมด 

  • ปรับแต่งได้ สามารถปรับแต่งระบบให้เข้ากับรูปแบบการทำงานที่ซับซ้อน หรือตามความต้องการเฉพาะทางได้ 

  • ออฟไลน์ ERP แบบ On-Premise ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสัญญาณอินเทอร์เน็ต จึงใช้ได้ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจำกัด


2. Cloud-Based ERP


SaaS หรือ  Software as a service หนึ่งในซอฟต์แวร์ในระบบ Cloud

ระบบ ERP แบบ Cloud-based เป็นระบบสมัยใหม่ที่จัดการได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่มักมาในรูปแบบการ Subscriptions และให้บริการในรูปแบบ Software-as-a-Service (SaaS) ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา ยืดหยุ่นปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงานได้ และยังเหมาะกับบริษัททุกขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่


เหมาะกับใคร: Startup ธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง (SMBs) ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้าน IT และธุรกิจที่เติบโตไวต้องการใช้ระบบ ERP แบบไม่ต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่อยากจะประหยัดค่าติดตั้งและบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์ก็ใช้ได้เช่นกัน 


จุดเด่นของระบบ ERP แบบ Cloud-Based

  • ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า การใช้ระบบ ERP แบบ Cloud-based ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเซิร์ฟเวอร์หรือฮาร์ดแวร์ที่ต้องติดตั้งใหม่ ถึงเป็นบริษัทเล็กก็ใช้ ERP แบบนี้ได้ในรูปแบบการ Subscription

  • ติดตั้งเร็วกว่า เพราะไม่ต้องลงระบบและอุปกรณ์ใหม่ ทำให้ออกแบบและติดตั้งระบบได้เร็วมากขึ้น ซึ่งระยะเวลาก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการของบริษัท ถ้าไม่ซับซ้อนก็ลงระบบได้เร็วขึ้น

  • อัปเดตอัตโนมัติ ซอฟต์แวร์แบบ SaaS ส่วนใหญ่ มักจะอัปเดตอัตโนมัติโดยผู้ให้บริการ จึงช่วยให้โปรแกรมมีฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ใช้งานได้อย่างสม่ำเสมอ และยังปลอดภัยอีกด้วย

  • ทำงานได้ทุกที่ เพราะเป็นซอฟต์แวร์ที่เข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ตอบโจทย์บริษัทที่ทำงานแบบ Remote Working ไม่ต้องอยู่ติดออฟฟิศ

  • ยืดหยุ่น Cloud-based ERP ถือเป็นระบบที่เติบโตไปกับธุรกิจ เพราะปรับแต่งได้ตลอดเวลา จะเพิ่มผู้ใช้งาน เชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ หรือเปิดใช้โมดูลใหม่ ก็สะดวกสบายทำได้ทันที

  • ข้อมูลปลอดภัย ผู้ให้บริการระบบ ERP ส่วนใหญ่จะลงทุนกับระบบป้องกันความปลอดภัยทางข้อมูลมากเป็นพิเศษ เช่น Data Encryption และ Firewall รวมถึงยังมีระบบ Backup ข้อมูลอัตโนมัติป้องกันข้อมูลหายจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด


ธุรกิจควรจะเริ่มมองหาหรือใช้ระบบ ERP ตอนไหน?


ธุรกิจที่ควรเริ่มใช้ระบบ ERP เป็นได้ทั้งธุรกิจที่เริ่มเติบโต การทำงานซับซ้อนขึ้น บริษัทที่ระบบเดิม ทำงานช้า  รับข้อมูลได้น้อยลง และบริษัทที่มีปัญหาแต่ละแผนกใช้โปรแกรมต่างกัน รวมข้อมูลยาก

  • ธุรกิจเริ่มเติบโต

เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ข้อมูลและการทำงานก็จะซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะกับธุรกิจที่มีสาขาใหม่ มีสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ซึ่งจะตามมาด้วยการจัดซื้อ การจัดการสินค้าคงคลัง ธุรกรรมทางการเงินที่มีมากขึ้น การใช้ระบบ ERP จะจึงช่วยให้เห็นข้อมูลต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มเดียว แทนที่จะต้องรวบรวมจากแผนกต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างราบรื่น


  • ระบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการ

บริษัทไหนที่ใช้ระบบจัดการทรัพยากรในองค์กรอยู่แล้ว แต่เป็นระบบเก่าที่ใช้มานาน ไม่ได้อัปเดตซอฟต์แวร์ รูปแบบการทำงานก็อาจจะล้าหลัง เก็บข้อมูลได้น้อยลง ทำให้กระบวนการทำงานไม่สะดวกเท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ระบบ ERP ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงาน ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่าย และยังช่วยให้แต่ละแผนกทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น


  • เกิดปัญหาการเข้าถึงข้อมูลเพราะระบบที่แตกต่าง

หลาย ๆ ครั้งในการทำงานในบริษัท แต่ละแผนกจะใช้โปรแกรมแตกต่างกันไป เมื่อถึงเวลาจะต้องทำงานร่วมกัน ก็ต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูล การนำข้อมูลมารวมกันไว้ที่เดียวกันในโปรแกรม ERP จึงช่วยเชื่อมต่อการทำงานของแผนกต่าง ๆ ให้เข้ากันง่ายขึ้น และยังทำให้เห็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ นำไปพัฒนาธุรกิจต่อได้ในอนาคตด้วย


Implementor สำคัญอย่างไรกับการทำระบบ ERP ในองค์กร


ถึงแม้ว่า Enterprise Resource Planning จะถือเป็นระบบที่ตอบโจทย์การใช้งานในธุรกิจทุกประเภท แต่ถ้าอยากจะให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ได้ระบบที่ตรงจุดที่สุด การใช้บริการผู้พัฒนาหรือ Implementor ถือเป็นทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม เพราะว่าจะได้บริการที่ครบวงจร ตั้งแต่เริ่มต้นให้คำปรึกษาไปจนถึงการซับพอร์ตหลังเริ่มใช้ระบบไปแล้ว ช่วยอำนวยความสะดวก และยังเชื่อมต่อข้อมูลได้อย่างปลอดภัยด้วย


ประโยชน์ของการใช้บริการ Implementor คือ ได้ระบบ ERP ที่เข้ากับรูปแบบการทำงานและความต้องการมากที่สุด ย้ายข้อมูลได้อย่างเป็นระเบียบ ปลอดภัย ป้องกันข้อมูลรั่วไหล เชื่อมต่อเข้ากับระบบเดิมหรือระบบอื่นที่ใช้อยู่แล้วในบริษัท และยังมีบริการทดสอบ ให้ความรู้พนักงาน และดูแลเมื่อเกิดปัญหา

  • ออกแบบระบบที่เหมาะสม การใช้บริการ Implementor ที่เข้าใจการทำธุรกิจหรือเข้าใจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ช่วยให้ได้ระบบ ERP ที่เข้ากับรูปแบบการทำงานและความต้องการมากที่สุด โดยตัดทอนส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำระบบได้ด้วย

  • ย้ายข้อมูลไม่มีสะดุด Implementor จะเป็นผู้ช่วยย้ายข้อมูลไปยังโปรแกรม ERP ได้อย่างเป็นระเบียบ ปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาข้อมูลรั่วไหล 

  • ติดตั้งให้เข้ากับระบบเดิม สำหรับบริษัทที่มีเครื่องมือที่ใช้งานกันภายในอยู่แล้ว Implementor จะเป็นผู้ช่วยเชื่อมต่อระบบ ERP เข้ากับระบบเดิมที่มี ทำให้ข้อมูลเชื่อมต่อกันได้อย่างปลอดภัย 

  • บริการซับพอร์ต Implementor ส่วนใหญ่มักจะมากับบริการซับพอร์ตในด้านต่าง ๆ ทั้งการทดสอบระบบ ให้ความรู้พนักงาน ดูแลเมื่อเกิดปัญหาหลังเริ่มใช้งาน พร้อมให้คำแนะนำการใช้ระบบอย่างมืออาชีพด้วย


ขั้นตอนการ Implement ระบบ ERP เบื้องต้น ที่ทุกธุรกิจควรรู้!


  • วางแผน ศึกษาเป้าหมาย รูปแบบและขอบเขตการทำงาน รวมไปถึงความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ ก่อนนำไปออกแบบระบบที่เหมาะสมต่อไป

  • Process Mapping สร้างแผนผังการทำงานของระบบ โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อให้เห็นจุดที่จะต้องปรับปรุงหรือพัฒนาระบบให้เข้ากับกระบวนการทำงาน

  • Data Migration ย้ายข้อมูลเข้าสู่ระบบ ERP โดยตรวจสอบก่อนว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน

  • ให้ความรู้ อบรมพนักงานก่อนเริ่มใช้ระบบ ERP เพื่อให้พนักงานเข้าใจและคุ้นเคยกับโปรแกรม ป้องกันปัญหาการใช้งานในอนาคต

  • ทดสอบ ดำเนินการทดสอบระบบ หาจุดบกพร่อง และแก้ไขก่อนเริ่มใช้งานจริง

  • ซับพอร์ต หลังจากเริ่มใช้งานแล้ว หากมีปัญหาทางด้านเทคนิค Implementor ก็จะเข้าช่วยแก้ปัญหาและให้คำปรึกษาเพิ่มเติม



สนใจใช้ระบบ ERP ในธุรกิจ ให้ Backyard ช่วยออกแบบระบบที่ตอบโจทย์


จัดการข้อมูลและการทำงานได้ดี ก็ทำให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น ธุรกิจไหนที่สนใจใช้ระบบ ERP หรือต้องการปรับเปลี่ยนระบบที่มีอยู่แล้วให้ใช้งานได้แบบตอบโจทย์มากขึ้น Backyard พร้อมให้บริการแบบครบวงจร เพราะเรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ เข้าใจการทำธุรกิจ 


โดย Backyard เป็นพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการกับ Odoo บริษัท ERP ระดับโลก ช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกธุรกิจ จะได้ระบบที่ใช้งานได้อย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ พร้อมรับทุกการเติบโตในอนาคต



ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Digital Ecosystem และติดตามข่าวสาร Backyard ได้ที่… 

📍โทร. 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10.00-18.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์)


3.jpg

พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรแล้วหรือยัง?

ติดต่อทีมงาน Backyard

ทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมติดต่อกลับ เพื่อมอบบริการที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

bottom of page