top of page
3.jpg
BG-BY-Final.png

ระบบ ERP คืออะไร? สรุปครบทำไมองค์กรถึงควรเลือกใช้

  • รูปภาพนักเขียน: Backyard Team
    Backyard Team
  • 1 เม.ย.
  • ยาว 6 นาที

อัปเดตเมื่อ 1 วันที่ผ่านมา

รู้จักกับระบบ Enterprise Resource Planning หรือ ERP โปรแกรมที่ช่วยจัดการข้อมูลต่าง ๆ ในองค์กร ว่าจะมีเครื่องมือใดให้เลือกใช้ และดีต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง


ERP business management system showing finance, accounting, inventory, and operations icons on a laptop | ระบบ ERP สำหรับบริหารธุรกิจ แสดงไอคอนการเงิน บัญชี สต็อกสินค้า และงานปฏิบัติการบนแล็ปท็อป


Table of Contents


Key Takeaways


  • ระบบ ERP หรือ Enterprise Resource Planning เป็นระบบที่ใช้จัดการทรัพยากรต่าง ๆ ภายในบริษัท โดยนำข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ เช่น บัญชี HR จัดซื้อ ไปจนถึงการผลิตและคลังสินค้า มารวมกันไว้ในโปรแกรมเดียว ทำให้นำข้อมูลไปใช้ต่อได้ง่าย


  • สำหรับองค์กรที่เหมาะจะนำระบบ ERP ไปใช้ ก็เป็นได้ทั้งบริษัทขนาดเล็กและกลางอย่าง SMEs ที่กำลังเติบโต หรือจะเป็นบริษัทใหญ่ที่มีระบบเดิมที่ล้าสมัย อยากจะปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือธุรกิจที่อยากจะรวมข้อมูลไว้ที่ศูนย์กลางเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ ก็นำระบบ ERP ไปปรับใช้กับการทำงานได้เช่นกัน


ระบบ ERP หรือ Enterprise Resource Planning เป็นทางเลือกที่คนทำธุรกิจไม่ควรมองข้าม เพราะรวบข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ ไว้ในแพลตฟอร์มหรือโปรแกรมเดียว ช่วยให้นำข้อมูลไปตัดสินใจหรือคาดการณ์ความต้องการต่าง ๆ ในอนาคตได้ สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกับระบบนี้ หรือควรจะเลือกใช้แบบไหนดีให้เหมาะกับธุรกิจ วันนี้ Backyard รวบรวมความรู้ดี ๆ มาพร้อมตอบทุกข้อสงสัยกันแล้ว


ระบบ ERP คืออะไร?


ระบบ ERP หรือ Enterprise Resource Planning คือซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการองค์กร โดยรวมข้อมูลแผนกต่าง ๆ ไว้ในที่เดียว แบ่งเครื่องมือเป็นโมดูลต่าง ๆ ได้แก่ การเงินและบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง ทรัพยากรบุคคล งานจัดซื้อ การผลิต

ระบบ ERP ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning คือ ซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งที่ช่วยให้องค์กรบริหารจัดการการทำงานได้อย่างเป็นระบบ ด้วยการผสมผสานและรวมข้อมูลจำนวนมากไว้ในระบบเดียว การใช้ระบบ ERP ช่วยให้รวบรวมข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ เข้าด้วยกันไว้ที่ศูนย์กลาง


โดยการทำงานของระบบ ERP จะอยู่ในรูปแบบ โมดูล (Modular System) ซึ่งเปิดโอกาสให้ธุรกิจ เลือกใช้โมดูลที่ต้องการหรือจำเป็นกับการทำงานก่อนได้ เช่น โมดูลบัญชีและการเงิน งานจัดซื้อ แล้วค่อย ๆ เพิ่มโมดูลอื่น ๆ ตามการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งทำให้โปรแกรม ERP ยืดหยุ่นสูง และปรับเปลี่ยนหรือขยายระบบได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่กระทบกับระบบที่ใช้อยู่เดิม โดยโมดูลหลักที่ถูกใช้บ่อย ได้แก่


  • บัญชีและการเงิน (Accounting & Finance) จัดการบัญชี รายรับ-รายจ่าย ภาษี และงบการเงิน

  • การขาย (Sales) บริหารใบเสนอราคา ใบสั่งขาย ออกบิล และติดตามสถานะการขาย

  • บริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM – Customer Relationship Management) ติดตามลูกค้า ดูแล Pipeline โอกาสทางการขาย และความสัมพันธ์ลูกค้า

  • คลังสินค้า (Inventory) ควบคุมสต๊อกสินค้า ตรวจสอบการเบิก-จ่าย และติดตามการเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์

  • การจัดซื้อ (Purchase) จัดการใบสั่งซื้อ ซับพลายเออร์ และการเปรียบเทียบใบเสนอราคา

  • การผลิต (Manufacturing) วางแผนการผลิต จัดการ BOM (Bill of Materials) และควบคุมการผลิตให้มีประสิทธิภาพ

  • ทรัพยากรบุคคล (Human Resources – HR) เก็บข้อมูลพนักงาน จัดการเงินเดือน ระบบลา การสรรหาและการประเมินผลพนักงาน

  • การจัดการโครงการ (Project Management) วางแผนงาน มอบหมายงาน กำหนดเวลา และติดตามความคืบหน้าโครงการ

  • การตลาด (Marketing) ทำ Email Marketing, SMS, Marketing Automation และ Social Media Integration

  • อีคอมเมิร์ซและเว็บไซต์ (eCommerce & Website) สร้างเว็บไซต์และร้านค้าออนไลน์ เชื่อมต่อกับระบบการขายและคลังสินค้า


โมดูลหลักในระบบ ERP มีอะไรบ้าง?


ระบบ ERP แบ่งเป็นหลายโมดูลตามการใช้งาน

1. การเงินและบัญชี (Finance and Accounting)

บัญชีและการเงินถือเป็นโมดูลพื้นฐานสำคัญของระบบ ERP ใช้สำหรับรวมข้อมูล จัดการและติดตามธุรกรรมทางการเงินของบริษัท ช่วยให้ฝ่ายบัญชีตรวจสอบข้อมูลทางเงินให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายได้ง่ายขึ้น ลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ และมองเห็นข้อมูลภายในที่ช่วยให้นำไปตัดสินใจต่อได้ง่ายขึ้น


2. การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management)

สำหรับธุรกิจที่มีสินค้าคงคลัง ต้องจัดการสต็อกต่าง ๆ โมดูลนี้ถือเป็นตัวช่วยติดตาม จัดการ และเติมของลงสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเติมของมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ช่วยลดสินค้าส่วนเกิน ลดต้นทุน ปรับปรุงคำสั่งซื้อและกระบวนการทำงานให้แม่นยำขึ้น อีกทั้งยังใช้ข้อมูลคาดการณ์ความต้องการสินค้าได้ล่วงหน้าอีกด้วย


3. ทรัพยากรบุคคล (Human Resources)

ฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือที่เราเรียกกันว่า HR เป็นฝ่ายที่ต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพนักงาน บัญชีเงินเดือน ไปจนถึงการสรรหาคน การรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในระบบ  ERP จึงช่วยให้ฝ่าย HR ทำงานได้สะดวก ใช้เวลาน้อยลง มีข้อมูลเก็บไว้ครบถ้วน และนำข้อมูลไปคาดคะเนการทำงานด้านทรัพยากรบุคคคลต่อไปได้สะดวก


ระบบ ERP รวบรวมข้อมูลทุกฝ่ายไว้ในโปรแกรมเดียว

4. งานจัดซื้อ (Procurement and Purchasing)

จัดการการจัดซื้อได้อย่างครบครันทุกขั้นตอน ด้วยโมดูลงานจัดซื้อในระบบ ERP ตั้งแต่การขอใบเสนอราคาไปจนถึงการชำระเงิน ช่วยให้ขั้นตอนการทำงานของฝ่ายจัดซื้อมีข้อผิดพลาดน้อยลง ร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายได้สะดวกขึ้นผ่านระยะเวลาชำระเงินที่สั้นลง และยังช่วยควบคุมงบประมาณด้วยการติดตามและวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย


5. การผลิต (Manufacturing)

สำหรับสายการผลิต ระบบ ERP ก็มีโมดูลรองรับการวางแผนการผลิต ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ วางแผนขั้นตอนการผลิต และจัดการสินค้า ตรวจสอบคุณภาพ ช่วยวิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดระยะเวลาการผลิต ซึ่งเป็นประหยัดเวลาและต้นทุน ลดของเสียจากการผลิต และทำให้ได้สินค้าที่มีมาตรฐาน



หน้าตาโปรแกรม ERP เป็นแบบไหน?


รายชื่อพนักงานในระบบ Odoo ERP
ตัวอย่างการรวบรวมรายชื่อพนักงานไว้ในระบบ ERP สำหรับใช้งานด้าน HR

เครื่องมือจัดการวันลาของพนักงานในระบบ Odoo ERP
ตัวอย่างระบบ ERP ด้าน HR สำหรับจัดการวันลาของพนักงานในบริษัท

ประโยชน์ของ ERP มีอะไรบ้าง? ทำไมน่าใช้งาน?


ระบบ ERP ช่วยรวมข้อมูลไว้ด้วยกันช่วยให้คนทำธุรกิจตัดสินใจได้ดีขึ้น ทำงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ได้เร็วขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยระบบนี้ก็ยังยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามการเติบโตได้ และช่วยเพิ่มความโปร่งใส ตรวจสอบแผนกต่าง ๆ ได้สะดวก

ประโยชน์ของ ERP

รายละเอียด

ตัวอย่างการใช้งาน

รวมข้อมูลช่วยตัดสินใจได้ดีขึ้น

รวมข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ธุรกิจค้าปลีกใช้ ERP ติดตามความต้องการสินค้าแบบเรียลไทม์ และเติมสินค้าได้ตรงกับเทรนด์ตลาด

ทำงานซ้ำซ้อนได้รวดเร็วขึ้น

งานประจำ เช่น การออกใบ Invoice, Payroll และอัปเดต สต๊อกสินค้า ทำได้แบบอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์

E-commerce ใช้ ERP อัปเดตสต๊อกและส่งใบยืนยันการสั่งซื้อแบบอัตโนมัติ

ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ

ลดงานซ้ำซ้อน ควบคุมต้นทุน และติดตามค่าใช้จ่ายได้แม่นยำ

โรงงานผลิตใช้ ERP วิเคราะห์การจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อลดต้นทุนส่วนเกิน

ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามการเติบโต

ปรับขยายระบบให้เหมาะกับธุรกิจที่เติบโต เช่น เพิ่มสินค้า บริการ และพนักงาน

ธุรกิจที่มีหลายสาขา ใช้ ERP ติดตามยอดขายและสต๊อกจากทุกสาขาได้จากแพลตฟอร์มเดียว

เพิ่มความโปร่งใส

ทุกแผนกเห็นข้อมูลเดียวกัน ทำให้ตรวจสอบกันได้สะดวกขึ้น

ใช้ ERP ตรวจสอบสถานะการสั่งซื้อและการจัดส่งได้ทันทีทุกฝ่าย


1. รวมข้อมูลไว้ด้วยกันช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น

ระบบ ERP ช่วยรวบรวมข้อมูลทั้งหมดในธุรกิจมาไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการขาย สินค้าคงคลัง บัญชี และ HR แทนที่จะต้องไปเปิดหาข้อมูลในหลาย ๆ ชีท หรือเปิดโปรแกรมหลาย ๆ โปรแกรม ก็เปิดดูรีพอร์ทหรือข้อมูลได้เลยบนโปรแกรม ERP ทำให้นำข้อมูลไปใช้ตัดสินใจต่อได้เร็วยิ่งขึ้น ไม่ต้องเสียเวลารวบรวมจากแผนกต่าง ๆ


ตัวอย่างการใช้โปรแกรม ERP รวบรวมข้อมูล:

สำหรับธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กหรือกลาง จะใช้ ERP ติดตามความต้องการของสินค้าในตลาดได้แบบเรียลไทม์ ใช้ดูว่าสินค้าไหนที่ได้รับความนิยมสูง และเติมสินค้าใหม่ได้ทันที ป้องกันการเติมสินค้ามากไป และเติมสินค้าได้เหมาะกับเทรนด์ของตลาดด้วย


2. ทำงานประจำได้รวดเร็วขึ้น

สำหรับงานที่ต้องทำเป็นประจำ เช่น การส่งใบแจ้งหนี้ (Invoice) บัญชีเงินเดือน (Payroll) หรือแม้แต่การติดตามสินค้าคงคลัง และการจัดส่ง ก็ทำให้เป็นอัตโนมัติได้ในระบบ ERP ช่วยลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ทำให้พนักงานไปใช้เวลากับงานที่สำคัญกว่าได้ 


ตัวอย่างการใช้โปรแกรม ERP กับการจัดการสินค้า: 

แพลตฟอร์ม ecommerce ขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้ ERP ปรับเปลี่ยนขั้นตอนการสั่งสินค้าออนไลน์ อัปเดตปริมาณสินค้า และส่งใบยืนยันการสั่งสินค้า ให้กลายเป็นอัตโนมัติได้เลย


3. ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

เชื่อมโยงการทำงานของแต่ละแผนกเข้าด้วยกัน ช่วยให้ธุรกิจที่กำลังเติบโตทำงานได้อย่างเป็นระบบ ไม่ซ้ำซ้อน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่มักจะเกิดจากความผิดพลาดในการทำงาน ช่วยควบคุมบัญชีและการเงินได้ดีขึ้นด้วยการติดตามค่าใช้จ่ายอย่างแม่นยำ


ตัวอย่างการใช้โปรแกรม ERP วิเคราะห์ข้อมูล: 

ธุรกิจที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการผลิตใช้ข้อมูลในระบบ ERP สำหรับวิเคราะห์การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์และวัตถุดิบต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับปริมาณการผลิต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนส่วนเกินได้นั่นเอง


ERP ช่วยรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ในบริษัท

4. ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามการเติบโตได้

สำหรับธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ต้องกังวลว่าระบบ ERP จะปรับเปลี่ยนตามการเติบโตไม่ทัน เพราะระบบนี้ถูกออกแบบมาให้ยืดหยุ่น ปรับให้เข้ากับรูปแบบการทำงานได้เสมอ โดยไม่กระทบต่อระบบที่ใช้อยู่แล้ว และยังรองรับการขยายตัว เช่น สินค้า บริการ และพนักงานที่มีเพิ่มขึ้น 


ตัวอย่างโปรแกรม ERP สำหรับธุรกิจที่ขยายตัว: 

ธุรกิจที่จะขยายตัว เพิ่มสาขาใหม่ สามารถใช้โปรแกรม ERP จัดการปริมาณสินค้าในคลัง และติดตามยอดขายจากทุกสาขาได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องตามเก็บข้อมูลจากแต่ละสาขาให้เสียเวลา


5. ทำธุรกิจได้แบบโปร่งใส

แน่นอนว่าเมื่อมองเห็นข้อมูลต่าง ๆ ของแต่ละแผนกได้บนแพลตฟอร์มเดียวแบบเรียลไทม์ สิ่งที่ตามมาทันทีก็คือความโปร่งใส เพราะทุกฝ่ายจะตรวจสอบกันและกันได้แบบเรียลไทม์ ลดการทำงานแบบต่างคนต่างทำ ทำให้ทุกคนทำงานได้อย่างเท่าเทียมด้วยข้อมูลเดียวกัน


ตัวอย่างการใช้โปรแกรม ERP ตรวจสอบข้อมูล:

ธุรกิจที่ใช้ ERP เช็คสถานะการสั่งซื้อ ตั้งแต่คลังสินค้าไปสู่การจัดส่ง ทำให้กระบวนการมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น โดยที่แต่ละฝ่ายติดตามได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบัญชีหรือฝ่ายจัดการสินค้าคงคลัง


ระบบ ERP มีกี่ประเภท?


ระบบ ERP

รายละเอียด

เหมาะกับใคร

จุดเด่น

On-Premise ERP

ระบบที่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในเซิร์ฟเวอร์ขององค์กร บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT และดูแลระบบเอง

- บริษัทขนาดใหญ่ที่มี IT Infrastructure แข็งแรง

- ธุรกิจที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น ธุรกิจการเงิน

- อุตสาหกรรมที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเข้มงวด เช่น การเงิน กฎหมาย)

- ควบคุมได้เต็มที่

- ปรับแต่งระบบได้สูง

- ใช้งานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต

Cloud-Based ERP

ทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต ในรูปแบบ Subscription (SaaS) ไม่ต้องลงทุนด้าน IT เพิ่ม ใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา

- ธุรกิจ Startup, SMBs หรือ

บริษัทที่เติบโตเร็ว

- องค์กรใหญ่ที่ต้องการลดค่าใช้จ่าย IT

- ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า

- ติดตั้งเร็ว ไม่ซับซ้อน

- อัปเดตอัตโนมัติ

- ทำงานได้ทุกที่ (รองรับ Remote Work)

- ยืดหยุ่นและปรับขยายง่าย

- มีระบบความปลอดภัยและ Backup ข้อมูล


1. On-Premise ERP สำหรับธุรกิจที่มีระบบ IT อยู่แล้ว


ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ในองค์กรขนาดใหญ่

"ERP สำหรับองค์กรที่มีเซิร์ฟเวอร์ภายในอยู่แล้ว ไม่ต้องทำโครงสร้างใหม่"


ระบบแบบ On-Premise เป็นโปรแกรม ERP แบบดั้งเดิมที่จะติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในเซิร์ฟเวอร์ขององค์กร ทำให้ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT เพิ่มเติม เพราจะต้องติดตั้งระบบและดูแลอย่างสม่ำเสมอ โดยบริษัทจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของระบบ ERP ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูลต่าง ๆ ทำให้ปรับปรุงระบบได้ตามต้องการ และยังทำงานได้โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตอีกด้วย


ระบบ On-Premise ERP เหมาะกับใครบ้าง?

  • บริษัทขนาดใหญ่ที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT อยู่แล้ว

  • บริษัทที่มีความต้องการเฉพาะ ต้องการปรับแต่งระบบให้เข้ากับการทำงานอยู่เสมอ

  • อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายกฎระเบียบเป็นพิเศษ เช่น บริษัทการเงิน บริษัทด้านกฎหมาย


จุดเด่นของระบบ ERP แบบ On-Premise มีอะไรบ้าง?

  • ควบคุมได้หมด บริษัทจะจัดการทุกอย่างในระบบ ERP ได้หมด เพราะเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และข้อมูลทั้งหมด 

  • ปรับแต่งได้ สามารถปรับแต่งระบบให้เข้ากับรูปแบบการทำงานที่ซับซ้อน หรือตามความต้องการเฉพาะทางได้ 

  • ออฟไลน์ ERP แบบ On-Premise ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสัญญาณอินเทอร์เน็ต จึงใช้ได้ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจำกัด


2. Cloud-Based ERP ยืดหยุ่น เลือกตามความต้องการได้


SaaS หรือ  Software as a service หนึ่งในซอฟต์แวร์ในระบบ Cloud

"ERP แบบ SaaS จัดการได้บนอินเทอร์เน็ต ประหยัดค่าใช้จ่าย"


ระบบ ERP แบบ Cloud-based เป็นระบบสมัยใหม่ที่จัดการได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่มักมาในรูปแบบการ Subscriptions และให้บริการในรูปแบบ Software-as-a-Service (SaaS) ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา ยืดหยุ่นปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงานได้ และยังเหมาะกับบริษัททุกขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่


ระบบ Cloud-Based ERPเหมาะกับใครบ้าง?

  • Startup ธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง (SMBs) ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้าน IT

  • ธุรกิจที่เติบโตไวต้องการใช้ระบบ ERP แบบไม่ต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม

  • บริษัทขนาดใหญ่ที่อยากจะประหยัดค่าติดตั้งและบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์ก็ใช้ได้เช่นกัน


จุดเด่นของระบบ ERP แบบ Cloud-Based มีอะไรบ้าง?

  • ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า การใช้ระบบ ERP แบบ Cloud-based ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเซิร์ฟเวอร์หรือฮาร์ดแวร์ที่ต้องติดตั้งใหม่ ถึงเป็นบริษัทเล็กก็ใช้ ERP แบบนี้ได้ในรูปแบบการ Subscription

  • ติดตั้งเร็วกว่า เพราะไม่ต้องลงระบบและอุปกรณ์ใหม่ ทำให้ออกแบบและติดตั้งระบบได้เร็วมากขึ้น ซึ่งระยะเวลาก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการของบริษัท ถ้าไม่ซับซ้อนก็ลงระบบได้เร็วขึ้น

  • อัปเดตอัตโนมัติ ซอฟต์แวร์แบบ SaaS ส่วนใหญ่ มักจะอัปเดตอัตโนมัติโดยผู้ให้บริการ จึงช่วยให้โปรแกรมมีฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ใช้งานได้อย่างสม่ำเสมอ และยังปลอดภัยอีกด้วย

  • ทำงานได้ทุกที่ เพราะเป็นซอฟต์แวร์ที่เข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ตอบโจทย์บริษัทที่ทำงานแบบ Remote Working ไม่ต้องอยู่ติดออฟฟิศ

  • ยืดหยุ่น Cloud-based ERP ถือเป็นระบบที่เติบโตไปกับธุรกิจ เพราะปรับแต่งได้ตลอดเวลา จะเพิ่มผู้ใช้งาน เชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ หรือเปิดใช้โมดูลใหม่ ก็สะดวกสบายทำได้ทันที

  • ข้อมูลปลอดภัย ผู้ให้บริการระบบ ERP ส่วนใหญ่จะลงทุนกับระบบป้องกันความปลอดภัยทางข้อมูลมากเป็นพิเศษ เช่น Data Encryption และ Firewall รวมถึงยังมีระบบ Backup ข้อมูลอัตโนมัติป้องกันข้อมูลหายจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด


ธุรกิจควรจะเริ่มมองหาหรือใช้ระบบ ERP ตอนไหน?

ธุรกิจที่ควรเริ่มใช้ระบบ ERP เป็นได้ทั้งธุรกิจที่เริ่มเติบโต การทำงานซับซ้อนขึ้น บริษัทที่ระบบเดิม ทำงานช้า  รับข้อมูลได้น้อยลง และบริษัทที่มีปัญหาแต่ละแผนกใช้โปรแกรมต่างกัน รวมข้อมูลยาก

  • ธุรกิจเริ่มเติบโต

เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ข้อมูลและการทำงานก็จะซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะกับธุรกิจที่มีสาขาใหม่ มีสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ซึ่งจะตามมาด้วยการจัดซื้อ การจัดการสินค้าคงคลัง ธุรกรรมทางการเงินที่มีมากขึ้น การใช้ระบบ ERP จะจึงช่วยให้เห็นข้อมูลต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มเดียว แทนที่จะต้องรวบรวมจากแผนกต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างราบรื่น


  • ระบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการ

บริษัทไหนที่ใช้ระบบจัดการทรัพยากรในองค์กรอยู่แล้ว แต่เป็นระบบเก่าที่ใช้มานาน ไม่ได้อัปเดตซอฟต์แวร์ รูปแบบการทำงานก็อาจจะล้าหลัง เก็บข้อมูลได้น้อยลง ทำให้กระบวนการทำงานไม่สะดวกเท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ระบบ ERP ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงาน ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่าย และยังช่วยให้แต่ละแผนกทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น


  • เกิดปัญหาการเข้าถึงข้อมูลเพราะระบบที่แตกต่าง

หลาย ๆ ครั้งในการทำงานในบริษัท แต่ละแผนกจะใช้โปรแกรมแตกต่างกันไป เมื่อถึงเวลาจะต้องทำงานร่วมกัน ก็ต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูล การนำข้อมูลมารวมกันไว้ที่เดียวกันในโปรแกรม ERP จึงช่วยเชื่อมต่อการทำงานของแผนกต่าง ๆ ให้เข้ากันง่ายขึ้น และยังทำให้เห็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ นำไปพัฒนาธุรกิจต่อได้ในอนาคตด้วย


โปรแกรม ERP ที่รู้จักกันทั่วไปมีอะไรบ้าง?


โปรแกรม ERP

รายละเอียด

จุดเด่น

SAP

หนึ่งในบริษัท ERP ที่ใหญ่และเก่าแก่ ก่อตั้งปี 1972 มีระบบ SAP S/4HANA Cloud เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่และอุตสาหกรรมเฉพาะทาง

- เด่นด้าน Manufacturing, Supply Chain, Finance

- รองรับการทำงานที่ซับซ้อนและหลายประเทศ

- ประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ด้วย In-memory DB

Oracle

ผู้พัฒนา Oracle Fusion Cloud ERP ครบวงจร เหมาะกับองค์กรกลาง–ใหญ่

- เด่นด้านการเงินและการวิเคราะห์

- มี AI Automation และ Predictive Analysis

- ปรับขนาดได้ตามธุรกิจ

Microsoft Dynamics 365

ส่วนหนึ่งของ Microsoft Ecosystem เชื่อมกับ Microsoft 365 และ Azure

- ผสานการทำงานกับ Excel, Outlook, Power BI, Teams

- ใช้งานง่าย ติดตั้งและอบรมได้เร็ว

NetSuite (by Oracle)

ERP บน Cloud สำหรับธุรกิจขายปลีก ขายส่ง eCommerce และบริษัทที่ทำงานหลายประเทศ

- รายงานการเงินแบบเรียลไทม์

- ระบบอัตโนมัติ

- ติดตั้งเร็ว ขยายตัวในระดับนานาชาติได้

Odoo

Cloud ERP แบบ Open-Source จากเบลเยียม ทำงานเป็นโมดูล เหมาะกับ SMEs และธุรกิจที่กำลังเติบโต

- มีมากกว่า 40 โมดูล

- ปรับแต่งได้ตามอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจ Healthcare

- Interface เรียบง่าย ใช้ได้ทั้ง Desktop และ Mobile


พนักงานบริษัทประชุมกันที่โต๊ะกลาง

1. SAP แบรนด์ใหญ่ สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่

SAP (Systems, Applications, and Products) เป็นหนึ่งในบริษัทที่ให้บริการระบบ ERP ที่ใหญ่ เก่าแก่ และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก่อตั้งในปี 1972 ให้บริการระบบ Cloud ERP ที่มีชื่อว่า SAP S/4HANA Cloud Cloud สำหรับองค์กรขนาดใหญ่และมีรูปแบบการทำงานที่ซับซ้อน หรือธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น อุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ น้ำมันและก๊าซ ไปจนถึงยานยนต์


จุดเด่นของ SAP มีอะไรบ้าง?

  • โดดเด่นในการทำงานด้านการผลิต (Manufacturing) Supply Chain และบัญชีการเงิน (Finance)

  • ระบบออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานที่ซับซ้อน การทำงานระหว่างประเทศ และอุตสาหกรรมที่มีความต้องการเฉพาะทาง

  • ประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ด้วยฐานข้อมูลแบบ In-memory และยังปรับแต่งให้เหมาะกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้


2. Oracle โดดเด่นเรื่องระบบการเงินขั้นสูง

Oracle บริษัทเทคโนโลยีจากประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี Database ให้บริการ Oracle Fusion Cloud ERP ระบบ ERP แบบครบวงจร โดยมีจุดเด่นในโมดูลบัญชีการเงิน โมดูลจัดซื้อ โมดูลบริหารโครงการ (Project Management) โมดูล Supply Chain ไปจนถึง Performance Management


จุดเด่นของ Oracle มีอะไรบ้าง?

  • ตอบโจทย์องค์กรด้านการเงิน เพราะมีระบบการเงินขั้นสูง และการวิเคราะห์ ได้รับความนิยมในองค์กรมหาชนระดับโลก

  • มี AI Automation และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analysis) ภายในแพลตฟอร์ม

  • ปรับขนาดให้เหมาะกับขนาดขององค์กรได้ เหมาะกับองค์กรขนาดกลางที่กำลังเติบโต และองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการระบบขั้นสูง


3. Microsoft เชื่อมต่อกับโปรแกรม Microsoft ได้

Microsoft Dynamics 365 ส่วนหนึ่งของ Microsoft Ecosystem แพลตฟอร์ม Cloud ซึ่งมีระบบ ERP และ CRM มาพร้อมดีไซน์ที่ใช้งานง่าย ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับ Microsoft 365 และ Microsoft Azure ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับโปรแกรมอื่น ๆ ได้ง่าย


จุดเด่นของ Microsoft มีอะไรบ้าง?

  • ผสานการทำงานร่วมกับ Microsoft Excel, Microsoft Outlook, Microsoft Power BI และ Microsoft Teams ได้อย่างราบรื่น

  • ปรับใช้ได้รวดเร็วและอบรมหนักงานให้เข้าใจได้ง่าย เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการจะสร้างศูนย์ข้อมูลกลาง


4. NetSuite ระบบจาก Oracle สำหรับธุรกิจเครือข่าย

NetSuite ระบบ ERP on Cloud โดย Oracle ออกแบบสำหรับธุรกิจหลากหลายประเภท เช่น ธุรกิจขายปลีก ขายส่ง และการให้บริการต่าง ๆ มีฟีเจอร์ที่สนับสนุนการทำงานระหว่างองค์กร ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเงินตราต่างประเทศ ได้รับความนิยมในบริษัทเทคโนโลยี ธุรกิจขายส่งขนาดใหญ่ และธุรกิจ eCommerce


จุดเด่นของ NetSuite มีอะไรบ้าง?

  • รายงานการเงินแบบเรียลไทม์และสนับสนุนการทำงานในองค์กรหลายแห่งพร้อมกันได้

  • ฟีเจอร์รีพอร์ตที่มีประสิทธิภาพพร้อมด้วยระบบอัตโนมัติ ติดตั้งได้เร็วและขยายตัวในระดับนานาชาติได้


5. Odoo โปรแกรม ERP ที่เลือกได้ตามโจทย์ของธุรกิจ

Odoo เป็น Cloud ERP แบบ Open-Source จากประเทศเบลเยียม ที่ปรับทำงานในรูปแบบ Modular เป็นโมดูลต่าง ๆ ที่มีให้ใช้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบัญชี การเงิน จัดซื้อ สินค้าคงคลัง รวมถึงทรัพยากรบุคคล (HR) ตอบโจทย์การทำงานของธุรกิจ SMEs ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง รวมถึงธุรกิจที่กำลังเติบโต ซึ่งหากมี Implementor เป็นผู้ช่วยออกแบบระบบ ERP ก็จะช่วยให้ใช้งาน Odoo ได้แบบเฉพาะทางและประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น


จุดเด่นของ Odoo มีอะไรบ้าง?

  • โมดูลหลากหลายมากกว่า 40 โมดูลให้เลือกใช้งาน ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจ

  • ปรับปรุงให้เข้ากับการทำธุรกิจได้ หากมี Implementor เป็นผู้ช่วยก็ออกแบบให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของธุรกิจได้ เช่น ธุรกิจ Healthcare

  • Interface เรียบง่าย เป็นระเบียบ ใช้งานได้ทั้งในเดสก์ท็อป แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน


สำหรับใครที่สนใจระบบ Odoo ERP อยากรู้จักกับระบบนี้มากขึ้น มีจุดเด่นตรงไหน มีโมดูลอะไรที่น่าสนใจบ้าง อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ Odoo ERP คืออะไร? ต่างจากโปรแกรมอื่น ๆ ตรงไหนบ้าง?


SAP กับ ERP ต่างกันอย่างไร?


หัวข้อ

รายละเอียด

เหมาะกับใคร

SAP

ระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้บริหารจัดการทรัพยากรภายในองค์กร เช่น บัญชี HR การผลิต และคลังสินค้า โดยรวมข้อมูลทุกแผนกมาไว้ในระบบเดียว

ธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ SMEs ถึงองค์กรใหญ่ ที่ต้องการจัดการงานให้เป็นระบบ

ERP

หนึ่งในผู้พัฒนา ERP รายใหญ่ของโลก (แบรนด์หนึ่งของ ERP) มีโซลูชัน SAP S/4HANA Cloud รองรับการทำงานซับซ้อนและหลายประเทศ

องค์กรขนาดใหญ่ หรือธุรกิจที่มีความซับซ้อนสูง เช่น การผลิต น้ำมัน ก๊าซ ยานยนต์


จะเห็นแล้วว่า SAP กับ ERP นั้นแตกต่างกันอย่างไร เพราะจริง ๆ แล้ว SAP เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการระบบ Enterprise Resource Planning นั่นเอง สำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้ระบบ ERP เพื่อจัดการข้อมูลให้เป็นระเบียบ 


โปรแกรมนี้ก็ไม่ได้มีเพียง SAP เท่านั้น แต่ยังมีระบบอื่น ๆ ที่น่าสนใจอยู่อีกหลายแบรนด์ โดยเฉพาะ Odoo ซึ่งเปิดให้ผู้พัฒนานำระบบไปปรับแต่งพัฒนาต่อได้ โดยเฉพาะธุรกิจเฉพาะทางอย่าง Healthcare ที่หากมี Implementor ที่มีประสบการณ์ตรง จะช่วยให้ออกแบบระบบได้ตรงกับความต้องการมากยิ่งขึ้น


Implementor สำคัญอย่างไรกับการทำระบบ ERP ในองค์กร


ถึงแม้ว่า Enterprise Resource Planning จะถือเป็นระบบที่ตอบโจทย์การใช้งานในธุรกิจทุกประเภท แต่ถ้าอยากจะให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ได้ระบบที่ตรงจุดที่สุด การใช้บริการผู้พัฒนาหรือ Implementor ถือเป็นทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม เพราะว่าจะได้บริการที่ครบวงจร ตั้งแต่เริ่มต้นให้คำปรึกษาไปจนถึงการซับพอร์ตหลังเริ่มใช้ระบบไปแล้ว ช่วยอำนวยความสะดวก และยังเชื่อมต่อข้อมูลได้อย่างปลอดภัยด้วย


ประโยชน์ของการใช้บริการ Implementor คือ ได้ระบบ ERP ที่เข้ากับรูปแบบการทำงานและความต้องการมากที่สุด ย้ายข้อมูลได้อย่างเป็นระเบียบ ปลอดภัย ป้องกันข้อมูลรั่วไหล เชื่อมต่อเข้ากับระบบเดิมหรือระบบอื่นที่ใช้อยู่แล้วในบริษัท และยังมีบริการทดสอบ ให้ความรู้พนักงาน และดูแลเมื่อเกิดปัญหา

  1. มีผู้ช่วยออกแบบระบบที่เหมาะสมกับการทำงาน 

    การใช้บริการ Implementor ที่เข้าใจการทำธุรกิจหรือเข้าใจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ช่วยให้ได้ระบบ ERP ที่เข้ากับรูปแบบการทำงานและความต้องการมากที่สุด โดยตัดทอนส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำระบบได้ด้วย


  2. Implementor ช่วยจัดการย้ายข้อมูลได้อย่างปลอดภัย

    Implementor จะเป็นผู้ช่วยย้ายข้อมูลไปยังโปรแกรม ERP ได้อย่างเป็นระเบียบ ปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาข้อมูลรั่วไหล 


  3. มีนักพัฒนาติดตั้งระบบ ERP ให้เข้ากับระบบเดิมที่ใช้อยู่

    สำหรับบริษัทที่มีเครื่องมือที่ใช้งานกันภายในอยู่แล้ว Implementor จะเป็นผู้ช่วยเชื่อมต่อระบบ ERP เข้ากับระบบเดิมที่มี ทำให้ข้อมูลเชื่อมต่อกันได้อย่างปลอดภัย


  4. บริการซับพอร์ต อบรม สนับสนุนการทำงานหากเกิดปัญหา

    Implementor ส่วนใหญ่มักจะมากับบริการซับพอร์ตในด้านต่าง ๆ ทั้งการทดสอบระบบ ให้ความรู้พนักงาน ดูแลเมื่อเกิดปัญหาหลังเริ่มใช้งาน พร้อมให้คำแนะนำการใช้ระบบอย่างมืออาชีพด้วย


หัวข้อเปรียบเทียบ

การใช้บริการ Implementor

การพัฒนาระบบเอง

ความเชี่ยวชาญ

ได้ทีมที่เชี่ยวชาญ ERP ที่มีประสบการณ์ทำงานกับหลายอุตสาหกรรม

ทีมงาน In-House อาจขาดประสบการณ์หรือไม่เข้าใจขั้นตอนทำงานเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม

ความเสี่ยง

ความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะ Implementor วางระบบตามมาตรฐานและมีแนวทางป้องกันปัญหา

ความเสี่ยงสูงกว่า เช่น ระบบล่ม ข้อมูลสูญหาย หรือไม่สามารถเชื่อมต่อระบบเดิมได้ดี

ระยะเวลาติดตั้ง

ติดตั้งได้รวดเร็วกว่า เพราะมีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจนและทีมงานพร้อม

อาจใช้เวลานานกว่า เพราะต้องเรียนรู้ระบบไปพร้อม ๆ กับการติดตั้ง

การปรับแต่ง

ปรับแต่งระบบให้ตรงตามความต้องการของธุรกิจได้ และแก้ไขได้เร็วหากเกิดปัญหา

ปรับแต่งได้เอง แต่ต้องใช้เวลามาก และอาจไม่รองรับการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน

การซับพอร์ต

มีบริการหลังการขายครบวงจร เช่น อบรมพนักงาน แก้ปัญหา ติดตามผล และอัปเดตระบบ

ไม่มีซับพอร์ตภายนอก ต้องดูแลเองทั้งหมด หากทีมงานลาออกหรือเปลี่ยนงาน ความต่อเนื่องจะหายไป


ขั้นตอนการ Implement ระบบ ERP เบื้องต้นทำอย่างไรบ้าง?


  • วางแผน ศึกษาเป้าหมาย รูปแบบและขอบเขตการทำงาน รวมไปถึงความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ ก่อนนำไปออกแบบระบบที่เหมาะสมต่อไป

  • Process Mapping สร้างแผนผังการทำงานของระบบ โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อให้เห็นจุดที่จะต้องปรับปรุงหรือพัฒนาระบบให้เข้ากับกระบวนการทำงาน

  • Data Migration ย้ายข้อมูลเข้าสู่ระบบ ERP โดยตรวจสอบก่อนว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน

  • ให้ความรู้ อบรมพนักงานก่อนเริ่มใช้ระบบ ERP เพื่อให้พนักงานเข้าใจและคุ้นเคยกับโปรแกรม ป้องกันปัญหาการใช้งานในอนาคต

  • ทดสอบ ดำเนินการทดสอบระบบ หาจุดบกพร่อง และแก้ไขก่อนเริ่มใช้งานจริง

  • ซับพอร์ต หลังจากเริ่มใช้งานแล้ว หากมีปัญหาทางด้านเทคนิค Implementor ก็จะเข้าช่วยแก้ปัญหาและให้คำปรึกษาเพิ่มเติม


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับระบบ ERP

1. ระบบ ERP คืออะไร?

ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) คือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรบริหารจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการรวมข้อมูลจากหลายแผนก เช่น บัญชี การเงิน การผลิต คลังสินค้า HR และการขาย ให้อยู่ในแพลตฟอร์มเดียว

2. ระบบ ERP เหมาะกับธุรกิจประเภทไหน?

ERP เหมาะกับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ SMEs ที่เพิ่งเริ่มต้นและกำลังเติบโต ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขาหรือหลายแผนก ธุรกิจที่ใช้ระบบเดิมที่ล้าสมัยและต้องการอัปเกรดเพื่อทำงานให้ทันสมัยขึ้น

3. ระบบ ERP มีกี่ประเภท?

ระบบ ERP มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ On-Premise ERP เป็นการติดตั้งซอฟต์แวร์ไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท เหมาะกับองค์กรใหญ่ที่ต้องการควบคุมและปรับแต่งระบบตามความต้องการเฉพาะ และ Cloud ERP หรือ SaaS (Software as a Service) เป็นระบบที่ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากนัก เหมาะกับธุรกิจทุกขนาด ติดตั้งได้รวดเร็ว ยืดหยุ่น และอัปเดตอัตโนมัติ

4. การใช้ระบบ ERP ช่วยธุรกิจได้อย่างไร?

การนำ ERP มาใช้ช่วยยกระดับประสิทธิภาพขององค์กรหลายด้าน เช่น ลดต้นทุนเพราะลดความซ้ำซ้อนในการทำงานและความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ นอกจากนี้ยังทำให้ข้อมูลจากทุกแผนกรวมกันในที่เดียว ผู้บริหารสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ธุรกิจและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ รวมถึงยังช่วยสร้างความโปร่งใสเพราะทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้

5. ERP ต่างจาก SAP อย่างไร?

ERP คือประเภทของซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการทรัพยากรภายในองค์กร ในขณะที่ SAP คือชื่อของหนึ่งในผู้พัฒนา ERP ที่ใหญ่และมีชื่อเสียงระดับโลก สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ว่าได้ว่า SAP เป็น ERP แต่ ERP ไม่ได้หมายถึง SAP เพียงอย่างเดียว


HealthBiz ระบบ ERP สำหรับธุรกิจ Healthcare โดยเฉพาะ

สำหรับผู้ที่สนใจใช้ระบบ ERP ภายในองค์กรหรือธุรกิจ Healthcare ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลทุกประเภท Backyard พร้อมให้บริการ HealthBiz ERP ซอฟต์แวร์ที่ช่วยรวมข้อมูลงานบัญชี การเงิน และจัดซื้อไว้ที่ศูนย์กลาง เชื่อมต่อกับระบบ HIS ได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้การนำใช้ข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจสุขภาพโดยเฉพาะ


HealthBiz ERP ดีอย่างไร?

  • โปรแกรม ERP ที่พัฒนามาเพื่อธุรกิจ Healthcare โดยเฉพาะ ทั้งดีไซน์ Interface ให้ใช้งานได้สะดวก และระบบที่ออกแบบจากการทำงานจริง

  • จัดการข้อมูลจากระบบสารสนเทศโรงพยาบาล หรือ HIS เช่น บิลค่าใช้จ่ายผู้ป่วย จัดการสต๊อกยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อจัดซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งาน

  • รองรับการทำบัญชีภาษีตามกฎหมายไทย ช่วยให้การทำบัญชี งบการเงินสะดวกสบายขึ้น ได้แก่ รายงานภาษีซื้อ-ขาย แบบฟอร์มหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด. 3, ภ.ง.ด. 53) และอื่น ๆ

  • ปกป้องข้อมูลสำคัญด้วยเทคโนโลยีการเข้ารหัสขั้นสูง ตามมาตรฐานกฎหมายด้านสาธารณสุขระดับสากล บันทึกติดตามบันทึกเอกสารทั้งหมดที่จำเป็นต่อการปฏิบัติตามมาตรฐาน ISO



ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Digital Ecosystem และติดตามข่าวสาร Backyard ได้ที่… 

📍โทร. 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10.00-18.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์)


3.jpg

พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรแล้วหรือยัง?

ติดต่อทีมงาน Backyard

ทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมติดต่อกลับ เพื่อมอบบริการที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

bottom of page