SaaS (Software as a Service) คืออะไร? ต่างกับซอฟต์แวร์ประเภทอื่นตรงไหน
- Marketing Team
- 26 ก.ย.
- ยาว 4 นาที
อัปเดตเมื่อ 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา
รู้จักกับ Software as a Service (SaaS) คืออะไร มีจุดเด่นตรงไหน และต่างกับ PaaS (Platform as a Service) และ IaaS (Infrastructure as a Service) อย่างไร

Table of Contents
Key Takeaways
SaaS ย่อมาจาก Software as a Service เป็นซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งที่ทำงานผ่านระบบคลาวด์ เข้าถึงโปรแกรมได้ผ่านอินเทอร์เน็ตผ่านเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน จึงช่วยประหยัดค่าโครงสร้างพื้นฐานทาง IT และยังมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนผู้ใช้งาน ปรับเปลี่ยนได้ตามการเติบโตของธุรกิจ
SaaS เป็นซอฟต์แวร์สำเร็จรูปพร้อมใช้งาน ต่างจาก PaaS (Platform as a Service) เป็นแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา ใช้สร้างและปรับใช้แอปพลิเคชันได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องจัดการเซิร์ฟเวอร์ ขณะที่ IaaS คือบริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT เช่น เซิร์ฟเวอร์และการจัดเก็บข้อมูล โดยมีทีม IT ขององค์กรดูแลบำรุงรักษาเอง
SaaS หรือ Software as a Service เป็นเทรนด์สำคัญของวงการธุรกิจในโลกยุคดิจิทัล เพราะธุรกิจส่วนใหญ่หันมาลงทุนกับ SaaS กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยจุดเด่นที่ความประหยัด ไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และยังขยับขยายได้ตามการเติบโตของธุรกิจ
Backyard จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับซอฟต์แวร์ประเภทนี้กันให้มากขึ้น ว่าทำงานอย่างไร มีจุดเด่นตรงไหน พร้อมเปรียบเทียบด้วยว่า SaaS ต่างกัน PaaS (Platform as a Service) และ IaaS (Infrastructure as a Service) อย่างไรบ้าง
SaaS (Software as a Service) คืออะไร?

SaaS (Software as a Service) คือ การให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบคลาวด์ (Cloud) โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมลงบนคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง แต่เข้าใช้งานได้ทันทีผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานทาง IT
นอกจากนี้ SaaS ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการซื้อฮาร์ดแวร์ การบำรุงรักษา และการอัปเดตเวอร์ชันซอฟต์แวร์ ผู้ให้บริการ SaaS จะเป็นผู้ดูแลทุกอย่างตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย ไปจนถึงการอัปเดตระบบ ทำให้ผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ได้เต็มที่ ตัวอย่าง SaaS ที่นิยม ได้แก่ Google Workspace, Odoo, Zoom, Shopify และ Slack
SaaS VS PaaS VS IaaS คืออะไร? ความแตกต่างที่ควรรู้
หัวข้อ | SaaS (Software as a Service) | PaaS (Platform as a Service) | IaaS (Infrastructure as a Service) |
ลักษณะทั่วไป | ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต | แพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนา มีเครื่องมือสำหรับสร้างแอปพลิเคชัน | บริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT เช่น เซิร์ฟเวอร์, Storage และ Network |
ผู้ใช้งานหลัก | ผู้ใช้ทั่วไป ธุรกิจตั้งแต่ SMEs, Start up ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ | นักพัฒนา, Software Engineer | ทีม IT, DevOps, องค์กรที่ต้องการควบคุมระบบเอง |
การดูแลระบบ | ผู้ให้บริการดูแลทั้งหมด | ผู้ให้บริการดูแลโครงสร้าง ผู้ใช้ดูแลโค้ดและแอปพลิเคชัน | ผู้ใช้ต้องดูแล OS, Database และ Security เอง |
ความยืดหยุ่น | ขยับขยายได้ตามการเติบโตของธุรกิจ | พัฒนาและปรับแต่งแอปพลิเคชันได้ | ปรับแต่งโครงสร้างได้ตามต้องการ |
ค่าใช้จ่าย | Subscription รายเดือนหรือรายปี | จ่ายตามการใช้งาน (Pay-as-you-go) | จ่ายตามการใช้งาน (Pay-as-you-go) |
ตัวอย่าง |
|
|
|
SaaS ทำงานอย่างไร?

1. ซอฟต์แวร์บนระบบ Cloud
เพราะ SaaS เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่บนระบบคลาวด์ (Cloud Computing) ซึ่งทำให้ซอฟต์แวร์ เซิร์ฟเวอร์ และหน่วยเก็บข้อมูลต่าง ๆ อยู่บนอินเทอร์เน็ต แทนการติดตั้งและดูแลระบบเองภายในโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กร โดยผู้ให้บริการจะจัดการตั้งแต่บริการระบบเครือข่าย การประมวลผล การเก็บข้อมูล การใช้งาน รวมถึงการบำรุงรักษาและอัปเดตระบบให้เป็นปัจจุบัน พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
2. เข้าระบบผ่านอินเทอร์เน็ตได้
หัวใจสำคัญของ SaaS คือการเข้าถึงซอฟต์แวร์ได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ออฟฟิศ บ้าน หรือระหว่างเดินทาง ก็เข้าใช้งานได้ทันที ซึ่งช่วยให้ทำธุรกิจได้อย่างคล่องตัวและทำงานแบบ Remote ได้ง่ายขึ้น พร้อมรับการขยายตัวในอนาคต
3. การใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์
การใช้งาน Software as a Service ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม ผู้ใช้งานเปิดใช้งานบนเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชันที่รองรับ โดยเข้าสู่ระบบและใช้งานซอฟต์แวร์ได้ทันที ช่วยลดปัญหาความยุ่งยากด้านเทคนิค และยังทำให้ SaaS ใช้งานได้บนอุปกรณ์หลากหลาย เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน
4. ดูแลทั้งระบบโดยผู้ให้บริการ
โดยปกติการดูแลซอฟต์แวร์ SaaS ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตเวอร์ชันใหม่ การแก้ไขข้อผิดพลาดหรือบั๊ก (Bug) การดูแลเซิร์ฟเวอร์ และการรักษาความปลอดภัย จะรับผิดชอบโดยผู้ให้บริการทั้งหมด ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องดูแลระบบเอง และมั่นใจได้ว่าซอฟต์แวร์จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอ
5. ค่าบริการแบบ Subscription
ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน SaaS ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบ Subscription หรือการจ่ายค่าบริการรายเดือนหรือรายปี ตามจำนวนผู้ใช้ โมดูลหรือฟีเจอร์ที่เลือกใช้งาน ซึ่งการคิดค่าใช้จ่ายแบบ Subscription จะช่วยให้ธุรกิจควบคุมต้นทุนได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องลงทุนค่าโครงสร้างพื้นฐาน หรือใช้ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ล่วงหน้า และยังปรับขนาดการใช้งาน (Scale) ได้ตามความต้องการจริง เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
จุดเด่นของ SaaS (Software as a Service) มีอะไรบ้าง?
1. ประหยัดต้นทุน ไม่ต้องลงทุนล่วงหน้า
SaaS ถือเป็นซอฟต์แวร์ที่ประหยัดต้นทุนให้กับธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะไม่ต้องลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานทางด้าน IT ไม่จำเป็นต้องซื้อเซิร์ฟเวอร์ ฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ ผู้ใช้งานจ่ายค่าบริการตามแพ็กเกจรายเดือนหรือรายปี จึงควบคุมงบประมาณในการเลือกซอฟต์แวร์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
2. ยืดหยุ่น รองรับการปรับขนาด
SaaS เป็นซอฟต์แวร์ที่ปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผู้ใช้งาน เพิ่มโมดูลที่ต้องการใช้งาน เลือกฟีเจอร์ หรือพื้นที่เก็บข้อมูลก็ทำได้ทันที เหมาะกับธุรกิจที่กำลังเติบโตหรือต้องการรองรับการขยายทีมหรือสาขาในอนาคต
3. เข้าถึงได้สะดวก
จุดหนึ่งที่ทำให้ SaaS ได้เปรียบซอฟต์แวร์แบบ On-premise คือการเข้าถึงได้สะดวกสบายเพียงมีอินเทอร์เน็ต จึงเข้าถึงระบบได้ผ่านสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ จึงตอบโจทย์การทำงานระยะไกล (Remote Work) และการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Work) ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานสำคัญของโลกยุคใหม่
4. อัปเดตอัตโนมัติ
ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลว่าระบบจะล้าสมัยหรือขาดการอัปเดต เพราะผู้ให้บริการ SaaS จะดำเนินการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้โดยอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบจะเป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ โดยไม่ต้องเสียเวลาและทรัพยากรในการจัดการด้วยตนเอง
5. ได้มาตรฐานสากล
ซอฟต์แวร์ SaaS จำนวนมากมักพัฒนาขึ้นตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎหมายสากล เช่น ISO/IEC 27001, GDPR (General Data Protection Regulation) บางกรณีอาจรวมถึง PDPA (Personal Data Protection Act) ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่า ข้อมูลภายในองค์กรจะถูกปกป้องสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎหมายและมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
SaaS ต่างจากซอฟต์แวร์แบบติดตั้ง (On-premise) อย่างไร?
หัวข้อ | SaaS (Software as a Service) | On-premise (ติดตั้งในองค์กร) |
การติดตั้ง | ไม่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานทาง IT ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตได้เลย | ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานทาง IT และต้องติดตั้งโปรแกรมในเครื่อง หรือเซิร์ฟเวอร์ขององค์กร |
การบำรุงรักษา | ผู้ให้บริการดูแลทั้งหมด | องค์กรต้องดูแลเอง |
การเข้าสู่ระบบ | ใช้งานได้ทุกที่ผ่านอินเทอร์เน็ต | ใช้งานได้เฉพาะในเครือข่ายหรือเครื่องที่ติดตั้งไว้ |
ค่าใช้จ่าย | จ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี (Subscription) | ต้องลงทุนก้อนใหญ่ล่วงหน้า (License และ Hardware) |
การอัปเดต | ผู้ให้บริการอัปเดตเวอร์ชันอัตโนมัติ | ทีม IT ขององค์กรต้องอัปเดตเอง |
ความปลอดภัย | ผู้ให้บริการดูแลมาตรการความปลอดภัยระดับสากล | องค์กรควบคุมเองทั้งหมด |
ความยืดหยุ่น | ปรับขนาดการใช้งานได้ง่ายตามจำนวนผู้ใช้ หรือโมดูลที่ต้องการใช้งาน | ขยายระบบยาก ต้องลงทุนเพิ่มทั้ง Hardware และ License |
ซอฟต์แวร์ On-premise คือ ซอฟต์แวร์ที่องค์กรติดตั้ง และใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรเป็นหลัก รวมถึงดูแลรักษาระบบ เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การอัปเดต ไปจนถึงความปลอดภัยโดยทีม IT ขององค์กร ส่วนใหญ่ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จึงปลอดภัยสูง เข้าถึงได้เฉพาะภายในองค์กร แต่ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนสูงทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการดูแลในระยะยาว
SaaS (Software as a Service) เหมาะกับธุรกิจแบบไหนบ้าง?

1. ธุรกิจขนาดเล็ก
สำหรับธุรกิจขนาดเล็กอย่าง Startup หรือ SMEs การเลือกใช้ SaaS ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้าน IT ได้มาก ไม่ต้องซื้อฮาร์ดแวร์หรือจ้างทีมงานดูแลระบบเต็มรูปแบบ และยังเลือกเฉพาะโมดูลหรือโปรแกรมที่จำเป็นต่อการทำงาน ช่วยให้ทีมเล็ก ๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างมืออาชีพและเป็นระบบ
2. ธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่
ธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ มีพนักงานตั้งแต่หลักสิบถึงร้อยคน มีโครงสร้างเป็นระบบ แบ่งแผนกชัดเจน หรือมีหลายสาขาเป็นเครือข่าย การเลือกใช้ซอฟต์แวร์ SaaS ที่ขยายการใช้งานได้ตามความต้องการ รวมถึงเชื่อมต่อกับระบบอื่นที่ใช้ในองค์กร จะช่วยจัดการข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ ปรับปรุงการสื่อสารภายใน และการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ธุรกิจด้านการศึกษา
ธุรกิจด้านการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย ไปจนถึงสถาบันติวเตอร์ออนไลน์ สามารถใช้ SaaS ปรับปรุงการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่นและเข้าถึงง่ายขึ้น เช่น จัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์หรือ Hybrid ไปจนถึงการเรียนรู้แบบ Interactive Learning ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและประสิทธิภาพของการสอน
4. ธุรกิจ Healthcare และ Wellness
ธุรกิจ Healthcare ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลประเภทอื่น ๆ เช่น คลินิกทันตกรรม คลินิกเสริมความงาม SaaS เป็นตัวช่วยจัดการข้อมูลการทำงาน เช่น ระบบ Electronic Health Record (EHR) ระบบ ERP on Cloud ช่วยให้แพทย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลได้อย่างปลอดภัย เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น HIPAA (Health Insurance Portability and Accountability Act) และ PDPA
5. ธุรกิจด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce)
สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) หรือธุรกิจร้านค้าออนไลน์ SaaS ช่วยจัดการข้อมูล สินค้าคงคลัง ไปจนถึงระบบบัญชี ซึ่งช่วยจัดการร้านค้าออนไลน์ได้ง่ายขึ้น เช่น แพลตฟอร์มสำเร็จรูปซึ่งทำให้ผู้ประกอบการสร้างร้านค้าออนไลน์ได้โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด การใช้ระบบ ERP ช่วยจัดการสินค้าคงคลังหรือบัญชีการเงินในแพลตฟอร์มเดียว
SaaS ที่นิยมใช้ในไทยและทั่วโลกมีอะไรบ้าง?
SaaS | ประเภท | จุดเด่น |
Google Workspace | Productivity & Collaboration |
|
Odoo | ERP & Business Management |
|
Zoom | Communication & Video Conferencing |
|
Shopify | E-commerce Platform |
|
Slack | Team Communication & Collaboration |
|
Google Workspace SaaS ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกัน โดยรวมเครื่องมืออย่าง Gmail, Google Drive, Google Docs, Google Sheets และ Google Meet เข้าด้วยกัน ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ผ่านอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชัน
Odoo ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ที่ทำงานแบบ Software as a Service เป็นแพลตฟอร์มที่ทำงานบนคลาวด์ ครอบคลุมทั้งระบบบัญชี การเงิน การตลาด ไปจนถึงการจัดการสินค้าคงคลัง ผู้ใช้งานเลือกโมดูลที่ต้องการและจ่ายตามการใช้งานได้ ไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT
Zoom SaaS ด้านการสื่อสารและประชุมออนไลน์ เข้าร่วมประชุมหรือเรียนออนไลน์ได้ทันทีผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน โดยไม่ต้องติดตั้งระบบประชุมด้วยเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร ผู้ให้บริการจัดการระบบ ความปลอดภัย และการอัปเดตทั้งหมด
Shopify SaaS สำหรับธุรกิจ E-commerce ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสร้างร้านค้าออนไลน์ได้ทันที โดยไม่ต้องเขียนโค้ดด้วยตนเอง ระบบทั้งหมดจัดเก็บอยู่บนคลาวด์ ผู้ใช้เพียงสมัครสมาชิกและจัดการร้านผ่าน Dashboard ก็ขายสินค้าออนไลน์ จัดการสต็อก และรับชำระเงินได้ครบวงจร
Slack SaaS ด้านการสื่อสารภายในองค์กร ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการสร้าง Channel สำหรับแผนกหรือโปรเจกต์ต่าง ๆ ผู้ใช้เข้าถึงได้จากทุกที่ผ่านอินเทอร์เน็ต และ Slack ยังรองรับการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Google Drive, Trello หรือ Jira ได้ด้วย
สำหรับธุรกิจที่ต้องการหาระบบ ERP มาช่วยให้การทำงานเป็นระบบ รวมข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ ไว้ที่ศูนย์กลาง นำไปวิเคราะห์และตัดสินใจเพื่อธุรกิจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดย Odoo เป็นอีกทางเลือกของระบบ ERP ที่ยืดหยุ่นเหมาะกับธุรกิจทุกขนาด สนใจอ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ Odoo ERP คืออะไร? ต่างจากโปรแกรมอื่น ๆ ตรงไหนบ้าง?
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SaaS (Software as a Service)
1. SaaS (Software as a Service) คืออะไร?
SaaS (Software as a Service) คือ ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการผ่านระบบคลาวด์ (Cloud Computing) ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเฉพาะทาง รวมถึงไม่ต้องดูแลระบบเอง ผู้ให้บริการจะเป็นผู้จัดการเรื่องการอัปเดต ความปลอดภัย และบำรุงรักษาทั้งหมด
2. SaaS ต่างจาก IaaS และ PaaS อย่างไร?
SaaS เป็นซอฟต์แวร์สำเร็จรูปพร้อมใช้งาน ส่วน PaaS (Platform as a Service) เป็นแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาเพื่อสร้างและปรับใช้แอปพลิเคชัน ขณะที่ IaaS (Infrastructure as a Service) คือการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT อย่างเซิร์ฟเวอร์และ Storage ซึ่งผู้ใช้ต้องดูแลเองมากกว่า
3. ตัวอย่าง SaaS ที่นิยมใช้ในไทยและทั่วโลกมีอะไรบ้าง?
ตัวอย่าง SaaS ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ Google Workspace สำหรับการทำงานร่วมกัน Odoo ระบบ ERP ที่ทำงานเป็นโมดูล ยืดหยุ่น ขยับขยายได้ตามความต้องการ Zoom สำหรับประชุมออนไลน์ Shopify สำหรับอีคอมเมิร์ซ และ Slack สำหรับการสื่อสารในองค์กร
4. SaaS คิดค่าบริการอย่างไร? เป็นรายเดือนหรือรายปี?
SaaS ส่วนใหญ่ใช้โมเดลการชำระเงินแบบ Subscription อาจเป็นรายเดือนหรือรายปี ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจและจำนวนผู้ใช้งาน การคิดค่าใช้จ่ายแบบนี้ช่วยให้ธุรกิจควบคุมต้นทุนได้ง่ายและยืดหยุ่นตามการใช้งานจริง
5. สามารถเชื่อมต่อ SaaS เข้ากับระบบอื่นในองค์กรได้หรือไม่?
SaaS เชื่อมต่อกับระบบอื่นได้ผ่าน API หรือ Integration Tools ซึ่งช่วยให้ข้อมูลทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น เช่น การเชื่อม CRM กับระบบการตลาด หรือ ERP กับระบบบัญชี
Backyard พร้อมให้บริการระบบ ERP สำหรับทุกอุตสาหกรรม
สำหรับธุรกิจที่สนใจระบบ ERP ที่ทำงานแบบ Software as a Service (SaaS) ที่ทั้งประหยัด ยืดหยุ่น วางแผน SMEs หรือ Start up ไปจนถึงธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ที่ต้องการปรับเปลี่ยนระบบให้เข้ากับงบประมาณที่มี ตอบโจทย์การทำงานมากขึ้น รวมถึงเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ได้อย่างราบรื่น
Backyard พร้อมให้บริการแบบครบวงจร ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ เข้าใจการทำธุรกิจ ทำให้ได้ระบบที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด สนใจระบบ HealthBiz ERP หรือระบบ ERP สำหรับธุรกิจอื่น ๆ ติดต่อเพิ่มเติมได้ที่
ติดตามข่าวสาร Backyard ได้ที่…
📍โทร. 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10.00-18.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์)
📍Linkedin: www.linkedin.com/company/backyardth
📍Facebook: www.facebook.com/backyardTH
📍Youtube: www.youtube.com/@BackyardGroup






